ผลงานการค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น จึงถือว่าเป็นผลงานที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงและสำคัญพอๆกับการเกิดศาสนาที่เคยปฏิวัติกระบวนทัศน์ของมนุษย์ด้วยการสร้างระบบความเชื่อ ความดี และความศรัทธา ให้เกิดขึ้นในสังคม
วิวัฒนาการของการหาความรู้ ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องขึ้นมาเป็นลำดับ เหตุเพราะความกระหายใคร่รู้ในอดีต ทำให้เกิดองค์ความรู้ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์กับมนุษย์ได้จริง อีกทั้งในปัจจุบันความรู้ยังมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้เองการหาความรู้ในปัจจุบันจึงเป็นเหตุปัจจัยที่สำคัญในการแข่งขันเพื่อชิงความได้เปรียบทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
เป้าหมายของการค้นคว้าหาความรู้ของมนุษย์ในขณะใดขณะหนึ่งถูกกำหนดด้วยภาวะของสังคมโลกในขณะนั้น ความรู้ในขณะใดขณะหนึ่งหมายถึง ความรู้ที่ต้องใช้ในการแข่งขันเพื่อชิงความได้เปรียบกัน ซึ่งเป็นลักษณะของความรู้ที่มีสัมพัทธ์ (relative) กล่าวคือต้องพยายามหาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ เพื่อหาหนทางในการเอาชนะการแข่งขันในสังคมที่ไม่หยุดนิ่ง การวิจัยในปัจจุบันจึงจะต้องมีเป้าหมายและเป็นงานแข่งขันที่มีลักษณะสัมพัทธ์และพลวัตอีกด้วย
ทั้งหมดนี้คือวิวัฒนาการของการหาความรู้ ซึ่งเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการพัฒนาของมนุษยชาติและสังคมโลก ดังนั้นวิธีคิดในการทำวิจัยที่ดีจึงจะต้องพัฒนาให้มีความเป็นปัจจุบัน เพื่อตอบรับกับกระแสสังคมโลกในปัจจุบันที่พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ความพยายามของมนุษย์ในการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทั้งทางธรรมชาติและทางสังคมตลอดจนการใช้ความสามารถในการคิดและการใช้เหตุผล นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตของมนุษย์แล้ว ยังได้ช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ รวมทั้งได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองในด้านต่างๆอย่างไม่หยุดยั้ง และที่สำคัญคือ ได้ก่อให้เกิดความรู้ขึ้นมาบนโลกจำนวนมากมาย
อาจกล่าวได้ว่า เพราะความกระหายใคร่รู้ของมนุษย์ในอดีต จึงทำให้มนุษย์รู้จักค้นคว้าจนมีความรู้พื้นฐานมากพอ อันเป็นเหตุให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบนโลกจนมาเป็นปัจจุบัน
นักวิจัยหลายคนอาจมองว่าการวิจัยเป็นเรื่องลึกลับ แต่แท้ที่จริงแล้วการวิจัยไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร หากรู้จักสังเกตมัน มนุษย์ทุกคนรู้จักการวิจัยดี เพียงแต่ไม่เห็นมันเท่านั้น ทุกสิ่งที่มนุษย์ในปัจจุบันมีความแตกต่างจากบรรพบุรุษในอดีตนั้น เกิดจากผลพวงของความรู้จากการวิจัยทั้งสิ้น การวิจัยจึงถือเป็นตัวสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น ดังนั้น การคิดทำการวิจัยสิ่งใด ผู้วิจัยจึงควรจะเริ่มด้วยการคิดก่อนว่า อยากจะเปลี่ยนแปลงสิ่งใด กล่าวคือต้องหาให้พบก่อนว่ามีปัญหาอะไรที่อยากจะแก้ไขบ้าง หากเริ่มได้เช่นนี้แล้วตัวโจทย์ในการวิจัยก็จะมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น และสามารถที่จะนำงานวิจัยชิ้นนั้นไปสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นบนโลกได้ต่อไป
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที