ไอที หรือ กลียุค?
การเป็นปรปักษ์เริ่มก่อตัวขึ้นในสังคมมนุษย์อย่างช้าๆ นับตั้งแต่ได้มีการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมต่างๆ ขึ้นมาขึ้นมาบนโลก สังคมมนุษย์ก็เริ่มถูกเฉือนด้วยด้ามมีดแห่งอารยธรรมไอทีอย่างเยือกเย็น เกิดเป็นรอยแยกของสังคมที่เริ่มแผ่ขยายออกกว้างขึ้น กว้างขึ้น และกว้างขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนับวันคมมีดของนวัตกรรมไอทีก็ยิ่งสร้างบาดแผลล้ำลึก ใบมีดแห่งความก้าวหน้าทางนวัตกรรมเทคโนโลยีค่อยๆ เฉือนลงบนการดำรงชีวิตของมนุษย์อย่างช้าๆ และเลือดเย็น เกิดเป็นช่องว่างแห่งความร้าวฉานของสัตว์สังคมเยี่ยงมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงมิได้
นวัตกรรมที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันถูกสร้างมาจากมันสมองของนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องในอดีต ผ่านการกลั่นกรองกระบวนการคิดขั้นสุดยอด เพื่อสรรค์สร้างสิ่งที่ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ อีกทั้งยังเป็นการช่วยทุ่มแรง ย่นระยะเวลาในการสูญเสียกำลังกายให้สั้นลง นวัตกรรมในอดีตนั้นจึงถือได้ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์สมัยนั้นโดยปริยาย หากลองมองย้อนกลับไปยังยุคที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งยิ่งใหญ่ นั่นคือยุคแห่งการปฏิวัติอุสาหกรรม เมื่อเจมส์ วัตต์ ได้คิดค้นประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ เครื่องทอผ้า เป็นผลสำเร็จ นับตั้งแต่นั้นการผลิตเพื่อบริโภคในครัวเรือนก็ถูกแปรสภาพการเป็นการผลิตเพื่อการค้าขาย เพื่ออุตสาหกรรมระหว่างแคว้น เมืองต่างๆ และท้ายที่สุดก็กลายเป็นอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ ความเจริญก้าวหน้าของนวัตกรรมเป็นตัวกระตุ้นให้เศรษฐกิจมีการขับเคลื่อนอย่างรุนแรง จนในที่สุดจึงเกิดลัทธิจักรวรรดินิยมขึ้น เมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มสร้างรายได้และกำไรอันน่ายั่วน้ำลายให้กับประเทศผู้ที่มีศักยภาพในการประดิษฐ์เครื่องจักรให้ก่อเกิดเป็นผลผลิตและสินค้า สิ่งเหล่านี้สามารถใช้เป็นอำนาจในการต่อรองทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศคู่ค้าได้และความหิวกระหายในการแสวงหาวัตถุดิบที่จะนำมาผลิตเป็นสินค้าก็เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น การขยายฐานการผลิตเริ่มคืบคลานเข้ามาสู่ดินแดนอันห่างไกล จากยุโรปมาถึงแอฟริกา เอเชีย และออสเตรเลียในทีสุด
การล่าอาณานิคมเป็นไปอย่างดุเดือด ประเทศมหาอำนาจต่างหิวกระหายดุจหมาป่าล่าเนื้อเตรียมกระโดดเข้าขย้ำเหยื่อ ประเทศถ่อยวิทยาการในภูมิภาคคนผิวดำและผิวเหลืองต่างก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือของประเทศมหาอำนาจทั้งหลายในทวีปยุโรป มีการเข้าแทรกซึมอย่างแนบเนียนผ่านการเข้าถึงด้วยวิธีการอันละม่อมโดยการเผยแพร่ศาสนา การศึกษา หรือแม้กระทั่งวัฒนธรรม และตัวการสำคัญของหายนะอันเป็นสาเหตุรอยร้าวทางสังคมนั่นก็คือ การเผยแพร่นวัตกรรมและเทคโนโลยี เมื่อเกิดแนวคิดและองค์ความรู้ทางนวัตกรรมใหม่ๆ อุบายอันแยบยลที่สุดในการยึดครองอาณาจักรก็เริ่มต้นขึ้น การขอเข้าประเทศด้วยการอ้างว่าต้องการเผยแพร่นวัตกรรมสมัยใหม่ถือเป็นกลยุทธ์ที่ประเทศผู้ล่าอาณานิคมใช้กันแทบทั้งสิ้น การแสร้งทำเป็นผู้ใจบุญโอบอ้อมอารีย์ราวกับว่าอยากเห็นประเทศด้อยพัฒนามีโอกาสได้เข้าถึงซึ่งความทันสมัยของเทคโนโลยีนั้นเป็นการสร้างความตายใจก่อนที่จะเข้ามาสูบวัตถุดิบ ทรัพยากรทางธรรมชาติ และปัจจัยการผลิตต่างๆ กลับไปยังประเทศของตน
แม้ว่าปัจจุบันการล่าอาณานิคมจะสิ้นสุดลงแล้วแต่การครอบงำทางอารยธรรมยังคงไม่หยุดนิ่ง สิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อมาเรื่อยๆ ราวกับว่ามันเป็นอมตะไปแล้ว การข่มกันทางเทคโนโลยีนวัตกรรมได้กลายมาเป็นสงครามเย็นที่แม้จะปราศจากการนองเลือดเช่นอดีต แต่กลับสร้างผลกระทบที่รุนแรงยิ่งกว่าการตีรันฟันแทงกันในสงครามเสียอีก ดูจากผิวเผินแล้วแทบจะไม่ปรากฏผลกระทบใดๆ แต่หากลองพิจารณาดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนจะพบว่าสังคมที่เรากำลังอาศัยอยู่นั้นกำลังถูกแผลบาดทะยักกัดกินเนื้อเยื่ออย่างไร้ซึ่งความปราณี ความเจ็บปวดจากรอยแผลที่ว่านี้ทำให้ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเริ่มก่อการกบฏขึ้นภายในใจโดยที่เขาเหล่านั้นแทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังแบ่งแยกขั้วความทันสมัยและความล้าสมัยออกจากกันและกัน เป็นการแบ่งระดับชั้นยิ่งกว่าน้ำแบ่งตัวจากน้ำมันเสียอีก เป็นการแบ่งความแตกต่างที่สร้างความร้าวฉานให้กับสังคมมนุษย์อย่างหาที่สุดไม่ได้
นับตั้งแต่เกิดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไอที อารยธรรมอิเล็กทรอนิคก็เริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้น นวัตกรรมที่เกิดวิวัฒนาการหลังจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมยังคงดำเนินต่อมาเรื่อยๆ และยังไม่เกิดการสะดุดตัวแต่อย่างใด จากการคิดค้นและประดิษฐ์เพื่อชดเชยสิ่งที่ขาดหาย กลายมาเป็นการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการ จากนั้นก็กลายมาเป็นการคิดค้นเพื่อความสะดวกสบาย และกลายมาเป็นการคิดค้นเพื่อแฟชั่นหรือกระแสความนิยมในที่สุด ผู้คนในสังคมที่เคยเสาะแสวงหาเทคโนโลยีไอทีมาเพื่อประโยชน์ในการทำงานก็กลายเป็นหามาเพื่อประทับบารมีและเป็นเครื่องสยบความใคร่ และสิ่งของบางอย่างทั้งที่ตัวเราเองรู้ทั้งรู้ว่าสิ่งนั้นมิได้ก่อให้เกิดประโยชน์มากสักเท่าใดนักในชีวิต แต่เพราะการกลัวถูกดูถูก การกลัวตกรุ่น การกลัวเป็นคนล้าสมัย ทำให้คนในสังคมบางส่วนต้องทำตัวเป็นเสือชีต้าร์วิ่งไล่ตามนวัตกรรมไอทีด้วยความเร็วแบบติดปีก ไม่ว่าจะมีการประดิษฐ์เทคโนโลยีไอทีใดๆ ขึ้นมาใหม่บนโลก คนกลุ่มนี้ก็จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตพวกแรกที่ได้สัมผัส สูดดม และยลโฉม สังคมจึงเหมือนถูกผ่าแบ่งออกเป็นหลายๆ ซีก เพราะในความเป็นจริงแล้วไม่ได้มีแค่คนล้ำสมัยกับล้าสมัยเพียงเท่านั้น แต่ยังสามารถแบ่งแยกย่อยออกเป็น คนทันสมัย คนตามสมัย หรือแม้กระทั่งคนกึ่งทันสมัยกึ่งล้าสมัย แม้ในการดำรงชีวิตประจำวันเราอาจจะไม่สามารถแบ่งคนแต่ละกลุ่มได้อย่างชัดเจนมากนัก แต่เราสามารถรับรู้ได้จากการสังเกตด้วยตัวของเราเอง เรามักจะมองว่าตนเองอยู่ในระดับที่ทันสมัยและก้าวไปไกลมากกว่าคนอื่นในสังคม อย่าคิดแม้แต่จะปฏิเสธว่าตัวเราเองไม่ได้เป็นหนึ่งในคนที่เหยียดหยามคนที่ใช้มือถือราคาถูกว่าเรา อย่าปากแข็งบอกว่าเราไม่ได้ยิ้มเยาะเวลาเห็นที่ใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็น และอย่าโกหกว่าเราไม่ได้มองด้วยหางตาเวลามีคนกำลังใช้เทคโนโลยีอย่างไม่ถูกวิธี สิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติของคนเราที่จะต้องพยายามทำให้ตนเองเหนือกว่าคนอื่นบางสิ่งบางอย่างอาจจะแพงเกินความสามารถที่เราจะซื้อได้ด้วยเงินสดก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียว เราก็ต้องดั้นด้นใช้ความพยายามในการผ่อนจ่ายรายเดือน นี่หรือคือสิ่งที่เรียกว่านวัตกรรมไอทีกำลังทำให้สังคมดีขึ้น หรือไอทีกำลังรับบทบาทเป็นมีดสองคม ด้านหนึ่งปลอกเอาความเจริญเข้ามาสู่สังคม แต่อีกด้านหนึ่งเฉือนวิถีชีวิตที่เคยเรียบง่ายของคนให้ขาดออกเป็นวิ่นๆ และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้คนบางคนเลือกที่จะหยุด การหยุดในที่นี้เป็นการหยุดอหังการคิดว่าตนเองต้องล้ำยุคล้ำสมัย แต่เป็นการหยุดคิดว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องตามให้เทคโนโลยีไอทีให้ทันจนเกินความพอเหมาะพอดี การยอมที่จะให้คนอื่นนิยามเราว่าเป็นคนล้าสมัย อาจจะเป็นการยอมรับในการอยู่อย่างพอเพียง การอยู่โดยอพึ่งพานวัตกรรมด้านไอทีให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ เพราะที่ผ่านมานับล้านๆปี คนเราก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีไอทีใดๆ เลยด้วยซ้ำไป
บางทีการที่เราวิ่งตามจนหมดแรงแล้วก็อาจจะทำให้เราตระหนักได้ว่า จริงๆ แล้วเรากำลังวิ่งไล่ตามความว่างเปล่า ล้ำสมัยแล้วจะเป็นอย่างไร มีอุปกรณ์ไฮเทคโนโลยีแล้วจะเป็นอย่างไร ต้องใช้เงินมหาศาลแลกกับความบันเทิงเพียงชั่ววูบถึงขั้นนั้นเลยหรือ คุ้มหรือไม่กับการแสร้งทำเป็นคนล้ำยุคทั้งๆที่ก็ไม่ใช่ตัวตนของเรา หากเสียงแห่งความทรมานภายในใจกำลังตะโกนกระแทกออกมาปาวๆ ว่า หยุด ก็คงสมควรแก่เวลาแล้วที่เราจะต้องนั่งคิดทบทวนว่าเท่าที่ผ่านมาความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้สร้างผลดีหรือผลเสียกับตัวเรามากน้อยเพียงใดแล้ว หากเราสามารถตอบตนเองได้ว่าเราควรจะแสวงหาและบริโภคแต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้จริงๆ เทคโนโลยีไอทีจะเป็นสิ่งที่สร้างคุณค่าให้แก่การดำรงชีวิตของเราอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เมื่อใดก็ตามที่เราบริโภคสิ่งเหล่านี้เกินความจำเป็นก็จะทำให้เทคโนโลยีไอทีกลายเป็นผลเสียนานัปการ
เทคโนโลยีที่สร้างขึ้นแทบทุกชิ้นล้วนมีเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ในการประดิษฐ์แทบทั้งสิ้นทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่วิจารณญาณของผู้ใช้แล้วว่าจะสามารถเล็งเห็นถึงประโยชน์การใช้งานของเทคโนโลยีแต่ละชิ้นอย่างไรและในด้านใด ด้วยเหตุนี้ควรจะคำนึงถึงประโยชน์การใช้งานสูงสุดทั้งต่อตนเองและสังคม
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที