สุชาญ์รินี

ผู้เขียน : สุชาญ์รินี

อัพเดท: 02 ก.พ. 2011 17.46 น. บทความนี้มีผู้ชม: 2267 ครั้ง

ผมว่าผมโชคดีที่ได้เกิดในประเทศนี้ เป็นประเทศที่มันไม่สะดวกสบายเสียจนเกินไป เป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นประเทศที่มีพระมหากษัตริย์นักพัฒนา ผมไม่ต้องการอยู่ประเทศที่มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆมาขายแทบทุกวัน


ชีวิตผมที่เปลี่ยนไป


ชีวิตผมที่เปลี่ยนไป

ตี๊ด ตี่ ตี ตี๊ด ตี๊ด ตี่ ตี ตี๊ด...

                เสียงนาฬิกาปลุกของผมดังขึ้นปลุกผมให้ตื่นจากนิทรา ผมดันตัวขี้นไปปิดนาฬิกาที่หัวเตียงอย่างหงุดหงิด บิดขี้เกียจเล็กน้อยเพื่อให้ร่างกายตื่นตัวต้อนรับเช้าวันใหม่ที่สดใส ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คดูกำหนดการวันนี้ ถึงมันจะไม่ใช่รุ่นใหม่ล่าสุดแต่สำหรับผมแล้วแค่มันใช้ได้ก็เพียงพอแล้ว ผมเหลือบมองไปที่ข้างฝาที่มีรอยปฏิทินที่เคยแขวไว้อยู่เป็นประจำอย่างคิดถึง ผมยังจำได้ดีว่าตอนที่ผมยังเป็นเด็กตัวเล็กๆนั้นคุณพ่อมันจะเขียนกำหนดการสำคัญๆในปฎิทินไม่ว่าจะเป็นวันเกิดของคนในครอบครัว วันที่เราสัญญาว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน แต่มีครั้งหนึ่งคุณพ่อไม่ได้เน้นวันเกิดผมที่ปฏิทิน ผมน้อยใจมากนึกว่าท่านลืมวันเกิดของผม เรียกได้ว่างอนท่านแบบที่ท่านก็ไม่ทราบสาเหตุ จนถึงวันเกิดคุณพ่อของผมเอาเค้กก้อนใหญ่มาเซอร์ไพรส์ผม ผมดีใจมาจนเผลอฉี่ราดออกมา วันนั้นเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดเลย

                ผมเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นแล้วอาบอย่างมีความสุข ไม่แปลกเลยถ้าใครบางคนจะอยู่ในห้องน้ำนานแบบผม เพราะมันคือช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนเรา จนผมนึกไม่ออกเลยว่าสมัยก่อนที่ผมยังไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นผมต้องรีบตื่นตีสี่ตี่ห้ามาอาบน้ำเพื่อให้ทันรถที่มารับ ผมอาบน้ำเย็นๆแบบนั้นได้ยังไง

                “เอก อาบน้ำเสร็จแล้วหรือยังลูก? ลงมากินข้าวได้แล้ว” เสียงของคุณแม่ของผมตะโกนเรียก ผมจึงจะมัวดื่มด่ำกับความสบายของน้ำอุ่นๆที่กระทบกายผมไม่ได้ ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมาข้างล่างเพื่อเติมพลังก่อนจะไปรบ เอ๊ย! ทำงาน

                “โหหห!! น่าอร่อยจังเลยครับแม่ แต่แม่ไม่จำเป็นจะต้องตื่นมาทำให้ผมเลย เดี๋ยวผมลงมาอุ่นอาหารแช่งแข็งเอาเองก็ได้ แม่ยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย” ผมพูดกับแม่อย่างเป็นห่วง

                “กินอาหารแช่แข็งมันจะได้สารอาหารเพียงพอเหรอ แม่ว่ากินของที่ทำใหม่ๆที่แม่ทำนั้นแหละดีแล้ว อย่างที่ภาษาฝรั่งเค้าเรียกอะไรนะ? แฟรต?”

                “เฟรช ครับแม่ เดี๋ยวนี้เก่งนะเนี่ย สงสัยดูหนังฝรั่งในเคเบิ้ลทั้งวันเลยหล่ะซิเนี่ย”ผมแซวแม่เล่นเมื่อเห็นว่าท่านพยายามพูดภาษาอังกฤษกับผม สมัยนี้มันช่างสะดวกสบายเสียจริงๆ มีสื่อการเรียนการสอนอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก ไม่เหมือนตอนผมเรียนมีแต่ห้องสมุดกับห้องเรียนเท่านั้นแหละที่เป็นจุดศูนย์รวมของความรู้

                “งั้นผมไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ”ผมไหว้คุณแม่ก่อนออกไปทำงานเป็นประจำ เพราะผมสำนึกในบุญคุณที่ท่านอุ้มท้องผมมาตั้ง 9 เดือน

                “เดินทางดีๆนะ”แม่ผมอวยพรก่อนที่ผมจะออกไป อย่างน้อยนี้ก็เป็นพรอย่างหนึ่งที่ผมได้รับจากพระอรหันต์ที่บ้าน

                ผมทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่งย่านสีลม เป็นงานที่หนักเอาการเลยทีเดียว แต่ถ้ามันทำให้ผมกับแม่อยู่อย่างสบาย แค่นั้นก็เพียงพอสำหรับผมแล้ว

                ขณะที่ผมนั่งรถโดยสารเพลินๆนั้นผมก็ได้ยินเสียง กริ๊ง! กริ๊ง! ครับเป็นเสียงกดบีบีของเด็กนักเรียนมัธยมปลายโรงเรียนหนึ่ง นั่งก้มหน้าก้มตากดพิมพ์บีบีอย่างเอาเป็นเอาตาย ในส่วนตัวผมผมว่าการติดต่อสื่อสารกับคนอื่นๆเป็นสิ่งที่ดีนะ ยิ่งมีเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆทำให้เราสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เราจะได้รู้ทันเหตุการณ์โลกปัจจุบัน ขนาดคนหัวโบราณอย่างผมยังมี facebook ไว้ติดต่อสื่อสารงานเลย  แต่ดูท่าว่าเด็กไทยจะรักสบายมากไปหน่อย แทนที่จะหัดพิมพ์ภาษาไทยให้มันถูกต้องตามอักขระ กลับกลายเป็นภาษาวิบัติไปได้ แต่ผมก็นับถือคนที่เป็นผู้ผลิตโทรศัพท์หรือเกมส์บางราย ตัดปัญหาที่จะใช้ภาษาไทยวิบัติโดยไม่มีโปรแกรมภาษาไทย ประมาณว่าอย่างน้อยเกมส์ก็ไม่ได้ให้แค่ความสนุกแต่ยังให้ภาษาอีกด้วย เด็กไทยก็ฉลาดใช้ภาษาคาราโอเกะสื่อสารกันแทน ตอนที่ผมเห็นเด็กข้างบ้านผมเล่นเกมส์แล้วพิมพ์คุยโต้ตอบกัน ผมยังคิดเลยว่า ภาษาอะไรของมันวะ?  แต่พอมาคิดๆดูอีกทีเป็นเพราะว่าผมมันไม่ทันยุคทันสมัยเองหรือเปล่า? หรือเทคโนโลยีมันไปเร็วเกินกว่าที่คนธรรมดาๆอย่างผมจะตามทัน?

                “คุณเอกครับ พอดีผมจะมาลาหยุดสัก 5 วันนะครับ”พนักงานชายคนหนึ่งเข้ามาคุยกับผมทันทีที่ผมเข้าห้องทำงานของผม

                “ทำไมเหรอ? ไม่สบาย? หรือมีธุระอะไร? ทำไมต้องลาตั้ง 5 วัน?”ผมรีบถาม เพราะตอนนี้พนักงานยิ่งจะไม่พอใช้อยู่

                “พอดีบ้านผมจะปลูกนาปรังนะครับ แล้วคนที่จะช่วยพ่อก็ไม่มี”พนักงานคนนั้นอธิบาย

                “แต่บ้านของคุณแล้งอยู่ไม่ใช่เหรอ? จะทำนาปรังได้เหรอ?”ผมถามอย่างไม่ไว้วางใจ เพราะทุกคนที่นี้รู้ว่าผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก แล้วส่วนใหญ่ผมก็จะโดนหลอกให้ลาหยุดด้วยมุกนี้เป็นประจำ ผมก็โดนต่อว่าเป็นประจำเช่นกัน

                “ครับ แต่สำนักฝนหลวงและการบินเกษตรได้ติดต่อกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดของผมแล้วบอกว่าจะให้การช่วยเหลือนะครับ ทีนี้ผมกับพ่อและแม่จะได้หมดหนี้หมดสินกันเสียที”พนักงานชายคนนั้นพูดและยิ้มอย่างมีความหวัง ผมเองก็เคลิ้มไปกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างตรงไปตรงมาของพนักงานชายคนนี้ และมันก็ทำให้ผมเชื่อว่าชายคนนี้ไม่ได้โกหกแต่อย่างใด

                “เฮ้อออ คุณก็รู้อยู่ว่าตอนนี้พนักงานยิ่งมีไม่พออยู่ ผมคงจะให้คุณลาหยุดไม่ได้”ผมพูดอย่างเด็ดขาด พนักงานชายคนนั้นก้มหน้าต่ำลงเหมือนผิดหวัง ผมก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ ก็อยู่กันมาเกือบปีแล้วยังไม่รู้นิสัยผมอีก

                “ฮ่าๆๆ ผมล้อเล่น เอาเป็นว่าผมขอให้นาครั้งนี้ของคุณประสบความสำเร็จ ปลดหนี้สินให้มันหมดๆไปนะ”

                “ขะ..ขอบคุณครับบ!!!”

                ถึงแม้ว่าใครหลายๆคนอาจจะอยากไปอยู่ต่างประเทศที่เจริญทางด้าน การศึกษา เทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่าผมโชคดีที่ได้เกิดในประเทศนี้ เป็นประเทศที่มันไม่สะดวกสบายเสียจนเกินไป เป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นประเทศที่มีพระมหากษัตริย์นักพัฒนา  ผมไม่ต้องการอยู่ประเทศที่มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆมาขายแทบทุกวัน เพราะผมตระหนักดีว่านวัตกรรมนั้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกๆวัน ทั้งในทางที่ดีขึ้นและทางที่แย่ลง โดยเฉพาะคนไทย เพราะคนไทยนั้นหลุ่มหลงกับวัฒนธรรมภายนอกและเทคโนโลยีมากจนเกินไป ไม่ใช่ว่าผมเป็นพวกชอบย่ำอยู่กับที่ แต่ผมเพียงแค่พอใจในการเปลี่ยนแปลงที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ก็เท่านั้นเอง


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที