ชีวิตผมที่เปลี่ยนไป
ตี๊ด ตี่ ตี ตี๊ด ตี๊ด ตี่ ตี ตี๊ด...
เสียงนาฬิกาปลุกของผมดังขึ้นปลุกผมให้ตื่นจากนิทรา ผมดันตัวขี้นไปปิดนาฬิกาที่หัวเตียงอย่างหงุดหงิด บิดขี้เกียจเล็กน้อยเพื่อให้ร่างกายตื่นตัวต้อนรับเช้าวันใหม่ที่สดใส ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็คดูกำหนดการวันนี้ ถึงมันจะไม่ใช่รุ่นใหม่ล่าสุดแต่สำหรับผมแล้วแค่มันใช้ได้ก็เพียงพอแล้ว ผมเหลือบมองไปที่ข้างฝาที่มีรอยปฏิทินที่เคยแขวไว้อยู่เป็นประจำอย่างคิดถึง ผมยังจำได้ดีว่าตอนที่ผมยังเป็นเด็กตัวเล็กๆนั้นคุณพ่อมันจะเขียนกำหนดการสำคัญๆในปฎิทินไม่ว่าจะเป็นวันเกิดของคนในครอบครัว วันที่เราสัญญาว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน แต่มีครั้งหนึ่งคุณพ่อไม่ได้เน้นวันเกิดผมที่ปฏิทิน ผมน้อยใจมากนึกว่าท่านลืมวันเกิดของผม เรียกได้ว่างอนท่านแบบที่ท่านก็ไม่ทราบสาเหตุ จนถึงวันเกิดคุณพ่อของผมเอาเค้กก้อนใหญ่มาเซอร์ไพรส์ผม ผมดีใจมาจนเผลอฉี่ราดออกมา วันนั้นเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดเลย
ผมเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นแล้วอาบอย่างมีความสุข ไม่แปลกเลยถ้าใครบางคนจะอยู่ในห้องน้ำนานแบบผม เพราะมันคือช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนเรา จนผมนึกไม่ออกเลยว่าสมัยก่อนที่ผมยังไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นผมต้องรีบตื่นตีสี่ตี่ห้ามาอาบน้ำเพื่อให้ทันรถที่มารับ ผมอาบน้ำเย็นๆแบบนั้นได้ยังไง
เอก อาบน้ำเสร็จแล้วหรือยังลูก? ลงมากินข้าวได้แล้ว เสียงของคุณแม่ของผมตะโกนเรียก ผมจึงจะมัวดื่มด่ำกับความสบายของน้ำอุ่นๆที่กระทบกายผมไม่ได้ ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมาข้างล่างเพื่อเติมพลังก่อนจะไปรบ เอ๊ย! ทำงาน
โหหห!! น่าอร่อยจังเลยครับแม่ แต่แม่ไม่จำเป็นจะต้องตื่นมาทำให้ผมเลย เดี๋ยวผมลงมาอุ่นอาหารแช่งแข็งเอาเองก็ได้ แม่ยิ่งไม่สบายอยู่ด้วย ผมพูดกับแม่อย่างเป็นห่วง
กินอาหารแช่แข็งมันจะได้สารอาหารเพียงพอเหรอ แม่ว่ากินของที่ทำใหม่ๆที่แม่ทำนั้นแหละดีแล้ว อย่างที่ภาษาฝรั่งเค้าเรียกอะไรนะ? แฟรต?
เฟรช ครับแม่ เดี๋ยวนี้เก่งนะเนี่ย สงสัยดูหนังฝรั่งในเคเบิ้ลทั้งวันเลยหล่ะซิเนี่ยผมแซวแม่เล่นเมื่อเห็นว่าท่านพยายามพูดภาษาอังกฤษกับผม สมัยนี้มันช่างสะดวกสบายเสียจริงๆ มีสื่อการเรียนการสอนอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก ไม่เหมือนตอนผมเรียนมีแต่ห้องสมุดกับห้องเรียนเท่านั้นแหละที่เป็นจุดศูนย์รวมของความรู้
งั้นผมไปก่อนนะครับ สวัสดีครับผมไหว้คุณแม่ก่อนออกไปทำงานเป็นประจำ เพราะผมสำนึกในบุญคุณที่ท่านอุ้มท้องผมมาตั้ง 9 เดือน
เดินทางดีๆนะแม่ผมอวยพรก่อนที่ผมจะออกไป อย่างน้อยนี้ก็เป็นพรอย่างหนึ่งที่ผมได้รับจากพระอรหันต์ที่บ้าน
ผมทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่งย่านสีลม เป็นงานที่หนักเอาการเลยทีเดียว แต่ถ้ามันทำให้ผมกับแม่อยู่อย่างสบาย แค่นั้นก็เพียงพอสำหรับผมแล้ว
ขณะที่ผมนั่งรถโดยสารเพลินๆนั้นผมก็ได้ยินเสียง กริ๊ง! กริ๊ง! ครับเป็นเสียงกดบีบีของเด็กนักเรียนมัธยมปลายโรงเรียนหนึ่ง นั่งก้มหน้าก้มตากดพิมพ์บีบีอย่างเอาเป็นเอาตาย ในส่วนตัวผมผมว่าการติดต่อสื่อสารกับคนอื่นๆเป็นสิ่งที่ดีนะ ยิ่งมีเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆทำให้เราสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เราจะได้รู้ทันเหตุการณ์โลกปัจจุบัน ขนาดคนหัวโบราณอย่างผมยังมี facebook ไว้ติดต่อสื่อสารงานเลย แต่ดูท่าว่าเด็กไทยจะรักสบายมากไปหน่อย แทนที่จะหัดพิมพ์ภาษาไทยให้มันถูกต้องตามอักขระ กลับกลายเป็นภาษาวิบัติไปได้ แต่ผมก็นับถือคนที่เป็นผู้ผลิตโทรศัพท์หรือเกมส์บางราย ตัดปัญหาที่จะใช้ภาษาไทยวิบัติโดยไม่มีโปรแกรมภาษาไทย ประมาณว่าอย่างน้อยเกมส์ก็ไม่ได้ให้แค่ความสนุกแต่ยังให้ภาษาอีกด้วย เด็กไทยก็ฉลาดใช้ภาษาคาราโอเกะสื่อสารกันแทน ตอนที่ผมเห็นเด็กข้างบ้านผมเล่นเกมส์แล้วพิมพ์คุยโต้ตอบกัน ผมยังคิดเลยว่า ภาษาอะไรของมันวะ? แต่พอมาคิดๆดูอีกทีเป็นเพราะว่าผมมันไม่ทันยุคทันสมัยเองหรือเปล่า? หรือเทคโนโลยีมันไปเร็วเกินกว่าที่คนธรรมดาๆอย่างผมจะตามทัน?
คุณเอกครับ พอดีผมจะมาลาหยุดสัก 5 วันนะครับพนักงานชายคนหนึ่งเข้ามาคุยกับผมทันทีที่ผมเข้าห้องทำงานของผม
ทำไมเหรอ? ไม่สบาย? หรือมีธุระอะไร? ทำไมต้องลาตั้ง 5 วัน?ผมรีบถาม เพราะตอนนี้พนักงานยิ่งจะไม่พอใช้อยู่
พอดีบ้านผมจะปลูกนาปรังนะครับ แล้วคนที่จะช่วยพ่อก็ไม่มีพนักงานคนนั้นอธิบาย
แต่บ้านของคุณแล้งอยู่ไม่ใช่เหรอ? จะทำนาปรังได้เหรอ?ผมถามอย่างไม่ไว้วางใจ เพราะทุกคนที่นี้รู้ว่าผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก แล้วส่วนใหญ่ผมก็จะโดนหลอกให้ลาหยุดด้วยมุกนี้เป็นประจำ ผมก็โดนต่อว่าเป็นประจำเช่นกัน
ครับ แต่สำนักฝนหลวงและการบินเกษตรได้ติดต่อกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดของผมแล้วบอกว่าจะให้การช่วยเหลือนะครับ ทีนี้ผมกับพ่อและแม่จะได้หมดหนี้หมดสินกันเสียทีพนักงานชายคนนั้นพูดและยิ้มอย่างมีความหวัง ผมเองก็เคลิ้มไปกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างตรงไปตรงมาของพนักงานชายคนนี้ และมันก็ทำให้ผมเชื่อว่าชายคนนี้ไม่ได้โกหกแต่อย่างใด
เฮ้อออ คุณก็รู้อยู่ว่าตอนนี้พนักงานยิ่งมีไม่พออยู่ ผมคงจะให้คุณลาหยุดไม่ได้ผมพูดอย่างเด็ดขาด พนักงานชายคนนั้นก้มหน้าต่ำลงเหมือนผิดหวัง ผมก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ ก็อยู่กันมาเกือบปีแล้วยังไม่รู้นิสัยผมอีก
ฮ่าๆๆ ผมล้อเล่น เอาเป็นว่าผมขอให้นาครั้งนี้ของคุณประสบความสำเร็จ ปลดหนี้สินให้มันหมดๆไปนะ
ขะ..ขอบคุณครับบ!!!
ถึงแม้ว่าใครหลายๆคนอาจจะอยากไปอยู่ต่างประเทศที่เจริญทางด้าน การศึกษา เทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่าผมโชคดีที่ได้เกิดในประเทศนี้ เป็นประเทศที่มันไม่สะดวกสบายเสียจนเกินไป เป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นประเทศที่มีพระมหากษัตริย์นักพัฒนา ผมไม่ต้องการอยู่ประเทศที่มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆมาขายแทบทุกวัน เพราะผมตระหนักดีว่านวัตกรรมนั้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกๆวัน ทั้งในทางที่ดีขึ้นและทางที่แย่ลง โดยเฉพาะคนไทย เพราะคนไทยนั้นหลุ่มหลงกับวัฒนธรรมภายนอกและเทคโนโลยีมากจนเกินไป ไม่ใช่ว่าผมเป็นพวกชอบย่ำอยู่กับที่ แต่ผมเพียงแค่พอใจในการเปลี่ยนแปลงที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ก็เท่านั้นเอง
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที