ภาคสาม บทที่ ๙ การปฎิรูปประเทศไทย เริ่มจาก การวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง
วันที่ 30 ตุลาคม 2006 (17:52)
เรียน พ่อแม่ พี่น้อง มิตรสหาย ครู อาจารย์ ผู้นำทุกระดับในสังคม บ้านเมือง นักเรียน นักศึกษา เด็กๆ และเยาวชน อันเป็นที่รักยิ่ง
แม้ว่าข้าพเจ้านี้ จะไม่ได้มีความสามารถ พรสวรรค์เหนือผู้คนอื่น เลยแม้แต่น้อย
เป็นแค่เด็กชาวนา ธรรมดาคนหนึ่ง บนแผ่นดินไทย อันเป็น แผ่นดินแม่ที่มีพระคุณ และเป็นที่รักยิ่ง เท่านั้น
เมื่อเทียบกับ พ่อแม่ ครู อาจารย์ ผู้นำทุกระดับทุกท่าน ที่มีความสามารถ ประสบการณ์ คุณวุฒิ วัยวุฒิ แล้ว
ข้าพเจ้าก็เปรียบเป็นดัง หิ่งห้อยตัวน้อย ที่คอยเปล่งแสง อยู่ภายใต้ ทุกท่าน ที่เป็นดังดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้า เท่านั้นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม อาศัยที่ว่า ข้าพเจ้านั้น เป็นคนอยู่วงนอก และอยู่ไกลออกไป
จึงพอมองเห็นภาพในมุมกว้าง มุมอันหลากหลาย ที่ไม่อาจมอง หรือ สังเกตเห็น
จากจุดศูนย์กลาง หรือ จากจุดไกล้ๆ ได้
ขอเรียนว่า มีเจตนาเพียงเพื่อ อยากเสนอแนะ มุมมอง หรือ สิ่ง ที่ได้สังเกตุเห็น แด่ทุกท่าน
เพียงแต่คิดว่า ทุกท่าน อาจจะเมตตา ให้โอกาส บ้าง
เผื่อว่า อาจจะเป็นประโยชน์ แก่แผ่นดินแม่ อันมีพระคุณยิ่ง ไม่มากก็น้อย
มุมกว้างที่ข้าพเจ้าได้สังเกตว่า
ประการแรก ความสำคัญแรก ของการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง
หากเรามองประวัติศาสตร์ และสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยใจเป็นกลาง
เราจะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ เข้มแข็ง แค่ไหน
หากพ้นจุดสุดยอดไปแล้ว มักเสื่อมลง เรื่อยๆ จนล่มสลาย และหายไป
ประเทศชาติของเราก็เช่นกัน หากเรามัวแต่มั่นใจ มัวแต่ประมาท
มัวยึดติด มัวหมกหมุ่น อยู่กับความรุ่งเรื่อง ความสำเร็จในอดีต
ความเสื่อมก็จะมาเยือนเราแบบนุ่มนวล ไม่รู้ตัว
จะรู้ตัวก็ต่อเมื่อ มีความเสียหายมาก จนแก้ไขได้ยาก
หรือเกินกำลังจะแก้ไขได้
ในความเป็นจริง ขณะนี้นั้น
ไม่ว่าเราจะรู้ หรืิอไม่ก็ตาม
ไม่ว่าเราจะชอบ หรือไม่ชอบ ก็ตาม
ไม่ว่าเราจะอยากฟัง หรืิอไม่ก็ตาม
แต่ความเสื่อมโดยธรรมดา โดยธรรมชาตินั้น ได้เกิดขึ้น และดำเนินอยู่
อย่างมากมายในจิตใจเรา ในสังคม บ้านเมือง ของเราเอง
และจะเกิดผล เช่นใดกับ เด็กๆ ลูกหลาน ของเรา ในอนาคตอันไกล้นี้
หากเราพิจารณา ความเป็นจริง ที่ว่า ไม่มีใคร ที่เกิดมาสมบรูณ์แบบ
ทุกคนย่อมประกอบค้วย ข้อดี และข้อด้อย อยู่ในตัวเราเอง ทั้งนั้น
ดังนั้น การวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเองนั้น
ย่อมเป็น หนทาง ที่ช่วยเราได้
ย่อมเป็น เครื่องมือใช้ตรวจสอบตัวเราเองได้
หากเรามีใจเป็นกลาง การวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง นั้น
ย่อมเป็นมิตรแท้ ผู้หวังดี ที่กล้า บอกความเป็นจริง แก่เรา
ย่อม เกิดผลจริง และเกิดผลดีอย่างใหญ่หลวง
แก่นของการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง นั้น คือ ความเป็นกลางอย่างแท้จริง
ไม่โอนเอียง เพราะ อคติ รัก เกลียดชัง โกรธแค้น
ซึ่งหากเดินทวนน้ำขึ้นไป ความเป็นกลาง อย่างแท้จริง ก็ก่อเกิดมาจาก
ความกล้าหาญ และ ซื่อตรง ต่อตัวเอง อย่างแท้จริง นั่นเอง
โดยธรรมชาตินั้น เรามักจะอยากฟัง แต่สิ่งที่เราพอใจ อยากฟังแต่ข่าวดี
อะไรที่เราไม่ชอบ ไม่พอใจ ข่าวร้ายต่างๆ แม้เป็นความจริง เราก็ไม่อยากฟัง อยากได้ยิน
เมื่อมีคนมา วิพากษ์วิจารณ์ตัวเรา เราย่อมไม่พอใจ และเป็นทุกข์
ถึงแม้จะเป็นความจริง เราก็ไม่อยากยอมฟัง หรือยอมรับ
ความไม่พอใจ หรือความทุกข์นี้ ขึ้นอยู่กับ
ระดับของ ความยึดติด ความหมกมุ่น
ของความคิด ความเชื่อ วิถีชีวิตของเราเอง
หากยึดติดมาก หมกมุ่นมาก เมื่อโดนวิพากษ์วิจารณ์
ย่อมไม่พอใจมาก เป็นทุกข์มาก
หากยึดติดน้อย หมกมุ่นน้อย
ย่อมเป็นทุกข์น้อยลง
ในการทำสิ่งที่ยากเย็น แสนเข็ญ ยิ่งนัก ในฐานะเกิดมาเป็น มนุษย์นี้
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ย่อมไม่ธรรมดา ย่อมเป็นผลดีอย่างใหญ่หลวง
เป็นผลที่เกิดจาก ความกล้าหาญ ซื่อตรง ต่อตัวเอง
ช่วยให้เราสามารถ หลีกเลี่ยง ผลเสีย ความเสื่อม ร้ายแรง
ในอนาคต จาก ข้อเสีย นิสัย หรือวิถีชีวิต วิถีความเชื่อ ของเราได้
อาจช่วยแก้ไข พลิกผัน ชีวิตเรา จากเคราะห์กรรม ผลเสียอันรุนแรง
ได้อย่างพลิกฝ่ามือ เลยทีเดียว
ประการสอง อุปสรรคแรก ของการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง
ความมั่นใจ ความประมาท ความยึดติด ความหมกมุ่น
ในความเชื่อ ศรัทธา ความงมงาย ความคิด
ในประเพณี วิถีชีวิต วิถีปฎิบัติ ที่ถือต่อๆ กันมา โดยไม่ค่อยได้ตรวจสอบ ด้วยความเป็นกลาง
ในความรุ่งเรือง ความสำเร็จ ในอดีต นั้น
ย่อมเป็นอุปสรรคแรก เป็นกำแพงอันแรก อันแข็งแกร่ง สูงเทียมฟ้า
ที่กั้น และล้อมรอบเรา จากความเป็นจริงหลากหลาย ภายนอก
ที่กั้น ตัวเรา จากการเริ่มต้น การวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง ได้
เพราะหากเรา กั้นตัวเราเอง จากความเป็นจริงอันหลากหลาย ภายนอกแล้ว
เราย่อมมองไม่เห็นความจริงอันหลากหลาย เราย่อมยึดมั่นว่าสิ่งที่เรามีอยู่
เป็นอยู่ ปฎิบัติอยู่นั้น ดีที่สุด เพราะมีของเราอยู่แค่สิ่งเดียว
ถึงแม้จะเกิดความเสื่ิอมขึ้น โดยธรรมดา โดยธรรมชาติ
เราก็ย่อมมองไม่เห็นความเสื่อมนั้น เพราะเรามีแค่สิ่งๆ เดียว
และเรามองเห็นอยู่ทุกวัน ย่ิอมเคยชิน และมองไม่เห็นว่ามันจะเสื่อม หรือมีปัญหาตรงไหนเลย
เป็นผลให้เราไม่อยาก เปลี่ยนแปลง ตัวเราเอง
เป็นผลให้เราไม่อยาก แก้ไข การวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง เลยแม้แต่นิดเดียว
ประการสาม อุปสรรคที่สอง ของการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง
ในชีวิต วิถีชีวิต สังคม ของคนไทยเรานั้น มีประวัติศาสตร์
มีความรุ่งเรือง มีความสำเร็จ เป็นความภาคภูมิใจมาอย่างยาวนาน
ในความเป็นจริง นั้นเราทุกคน ยังไม่พร้อมที่จะ วิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง
ยิ่งถ้าโดน วิพากษ์วิจารณ์ โดยผู้อื่นแล้ว เราทุกคน ยิ่งไม่พร้อมหนัก กว่าอีก
จะเห็นว่า การวิพากษ์วิจารณ์ นั้น จึงไม่อาจทำได้ง่าย
เพราะหากเราทุกคน ยังไม่พร้อม จะเกิดการฉีกขาดได้
คล้ายกับ เรารีบพลิกไข่เจียว ก่อนที่ไข่จะสุกดี เป็นแผ่นติดกัน
ไข่นั้นย่อมฉีกขาดได้โดยง่าย เช่นกัน
เช่นเดียวกันกับ การวิพากษ์วิจารณ์
เพราะหากเราทุกคน ยังไม่พร้อม รีบร้อนเกินไป
สังคม บ้านเมือง ย่อมเกิดการฉีกขาด ได้โดยง่าย
และอาจส่งผลกระทบ อย่างต่อเนื่อง อย่างรุนแรงได้
หากว่า เราทุกคน ยังไม่พร้อม ยังไม่ได้เตรียมตัว
เตรียมใจ ฝึกใจตน ให้กล้าหาญ หนักแน่น เป็นกลางอย่างแท้จริงแล้ว
เรามักมอง การวิพากษ์วิจารณ์นั้น ด้วย แง่ลบ อคติ ก่อนดูเนื้อหา ดูเหตุผล เสมอๆ
เราส่วนใหญ่ มักด่วน สรุป ตัดสิน ด้วยอารมณ์ ด้วยความรู้สึก ก่อนดูเนื้อหา ดูเหตุผล เสมอๆ
จุดนี้ เป็นจุดที่เปราะบาง และน่าเป็นห่วง ที่สุดในสังคม บ้านเมือง เราเลยทีเดียว
ประการสี่ ทางแก้ การวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง ย่อมทำได้ง่ายกว่า เป็นทุกข์น้อยกว่า
เราทุกคนคงมองเห็นได้ ไม่ยากนักว่า วิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง ย่อมทำได้ง่ายกว่า
และเป็นทุกข์น้อยกว่า ให้ผู้อื่นมา การวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง อย่างเทียบไม่ติด
การที่เราทุกคน สังคม บ้านเมือง ของเรา จะพ้นไปจากความเสื่อมได้
ต้องเริ่มจากการ การวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง นั่นเอง
การวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง นั้น ย่อมเริ่มจากการ ถามคำถามพื้นฐาน
เื่พื่อตอบคำถามพื้นฐานให้ได้ก่อน อันจะเป็นการเสริมความเชื่อมั่น
ลดความสงสัย ความคลางแคลงใจ อันลึกซึ้งภายใน
การวิพากษ์วิจารณ์คำตอบ เบื้องต้น เบื้องหน้า ก็จะทำให้
เกิดการคิด เป็นเหตุเป็นผล ต่อเนื่องเป็นระบบ ขึ้นไปอีก
เป็นการลดการยึดติด การยึดมั่น ในสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด หรือถูกที่สุด
เป็นการเดินทวนน้ำ ขึ้นไป เพื่อตรวจสอบ มูลเหตุ ของสิ่งต่างๆ อย่างแท้จริง
เป็นบันใด เป็นพื้นฐานอันแข็งแก่ง สำหรับการใดๆต่อไป
หากทำอย่างกล้าหาญ ซื่อตรง เข้มแข็ง เป็นประจำ ต่อเนื่อง
ย่อมพ้นความเสื่อม ความหายนะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ย่อมต้องอาศัย สติปัญญา กล้าหาญ ซื่อตรง กาย วาจา ใจ ที่บริสุทธิ์ บริบรูณ์
ผลอันใหญ่หลวง ที่ได้ในระดับที่สูงขึ้นไป ก็คือ ปัญญา จะเกิดขึ้นในตัวเรา
จากการปฎิบัติจริง จากการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง จริง
เมื่อมีใจเป็นกลางแล้ว ย่อมมองเห็น สิ่งหลากหลาย ตามความเป็นจริง
เป็นพัฒาการที่สอดคล้อง กับธรรมชาติ เป็นเหตุเป็นผล ต่อเนื่องกัน
ก่อให้เกิดการเชื่องโยง ความเป็นจริง ที่หลากหลาย
เกิดให้เกิด ต้นน้ำแห่งปัญญา สามารถไหลหล่อเลี้ยงตนเอง ผู้คนรอบข้างได้
สามารถไหลไปรวมกับ สายน้ำหลัก เพื่อหล่อเลี้ยง เพื่อแก้ไข
เพื่อป้องกัน ความเสื่อม หายนะ เจือจางพิษร้าย มากมาย ที่จะเกิดขึ้นโดยคนรุ่นเรา
เพื่อป้องกัน การส่งผ่านความเสื่อม พิษร้าย มากมาย ไปยังคนรุ่นหลัง เด็กๆ ลูกหลานเราทุกคนได้
จุดที่ควรระมัดระวังอย่างมาก คือ การวิพากษ์วิจารณ์ ต้องประกอบด้วย
สติปัญญา กล้าหาญ ซื่อตรง กาย วาจา ใจ ที่บริสุทธิ์ เป็นกลาง
หาไม่แล้ว จะกลายเป็นการฉีกขาด การแตกแยก เป็นพิษร้าย
ย่อมส่งผลร้าย พิษร้าย โดยตรง แก่ผู้นั้น และต่อคนรอบข้าง
อย่างไม่สามารถหลีกเหลี่ยงได้
สุดท้ายนี้ จะเห็นได้ว่า การวิพากษ์วิจารณ์ตัวเราเอง นั้นเป็น ขั้นแรกที่สำคัญยิ่งยวด
เป็นเงื่อนไข ที่สำคัญยิ่งยวด ต่อยุคสมัย ต่อบ้านเมือง ต่อแผ่นดินแม่ของเราทุกคน
จึงขอให้ทุกท่าน ลองพิจารณา ใคร่ครวญ และเพื่อขยายผล เพื่อให้เกิดขึ้นจริง
ในตัวเรา สังคมรอบข้างเรา และในระดับบ้านเมือง ต่อไป
สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกท่านมีกำลังกาย กำลังใจ ที่ดียิ่ง ในการทั้งปวง ขอขอบพระคุณยิ่ง
ด้วยความยินดี เต็มใจ เปิดกว้าง เป็นเกียรติ อย่างยิ่ง ต่อความรู้สึก ความคิดเห็น ของทุกท่าน
และขอเชิญทุกท่าน แวะเยี่ยมชมทั้ง ๒๘ บทความ ได้ที่
http://www.tpa.or.th/writer/author_des.php?passTo=e7c730f5848300fc6f352f248796df86&authorID=63
และ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=cxoasia&group=1
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที