ประเทศไทยของเราหยุดการพัฒนา ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม นับตั้งแต่การรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ล้มรัฐบาลพันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร
เรามีนายกรัฐมนตรี ต่อจากเหตุการณ์ล้มรัฐบาลนั้นมาแล้ว ๓ ท่าน ประกอบไปด้วยคุณสมัคร สุนทรเวชร คุณสมชายวงษ์สวัสดิ์ และล่าสุดคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ละท่านไม่สามารถแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองเพื่อประชาชนได้อย่างราบรื่น ตามกำลังความสามารถ
เพราะทั้งหมดเกิดการต่อต้านจากกลุ่มกดดันทางกมาเมืองกลุ่มใหญ่ ๒ กลุ่มคือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ภายใต้สัญญาลักษณ์ พธม. เสื้อเหลือง นปช. เสื้อแดง
จากสภาพของการไม่ลื่นไหลในการพัฒนาชาติ เพื่อควมอยู่ดี กินดี ของประชาชนชาวไทย ทั้งหมดนั้นเกิดจากนายกรัฐมนตรีของไทย ไม่สามารถบริหารงานแผ่นดินได้ตามบทบาทหน้าที่ของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บริหารแผ่นดินได้อย่างไม่สะดวกเต็มที่ ไม่มีความองอาจในการตัดสินใจ
การตัดสินใจที่ไม่องอาจ ก็เพราะการได้มาซึ่งการเป็นนายกรัฐมนตรีไม่องอาจนั่นเอง จึงต้องเกรงอกเกรงใจ ผู้มีพระคุณทั้งหลายที่สนับสนุนมาในอดีต นั่นคืออำนาจอื่นมิใช่อำนาจประชาชน
เมื่อถูกอำนาจอื่นครอบงำ การจะทำอะไรเพื่อประชาชนก็รู้สึกเกรงอำนาจนั้นมากว่าอำนาจประชาน การแก้ไขปัญหาเพื่อประชาชนจึงไม่ถูกดำเนินการขยายผลอย่างจริงจัง จะมีอยู่บ้างก็ประปราย แต่ก็แห่แหนแวดล้อมด้วยทุจริตคอรัปชั่น
ในเมื่อไม่เกรงใจประชาชนเสียแล้ว ประชาชนจะหวังอะไรได้ ผู้หวังได้คืออำนาจอื่นนั่นเอง ที่จะบังคับทั้งทางตรงทางอ้อมให้นายกรัฐมนตรีทำในสิ่งที่เขาต้องการ ผลประโยชน์ทั้งมวลจากการบริหารจึงตกถึงประชาชนส่วนใหญ่น้อยมาก
จะเห็นได้จากที่สภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ตามข่าวสารต่างๆไม่ส่อแววเลยว่าประเทศไทยเราจะดีขึ้น หรือดีขึ้นเมื่อไร
ความที่เกรงอำนาจอื่นมากกว่าอำนาจประชาชน เพราะอำนาจอื่นแสดงอิทธิฤทธิ์ให้หน้ายกรัฐมนมตรีต้องมีอันเป็นไปเฉพาะหน้าได้ไวกว่าอำนาจที่ถูกต้อง คือ อำนาจประชาชน นายกรัฐมนตรีจึงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันต่อวัน ด้วยการถืออำนาจอื่นเป็นใหญ่ อำนาจประชาชนเป็นรอง
ดังนั้นใครที่คิดจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี และตั้งใจจะใช้ความดี ความสามารถที่มีอยู่ให้เกิดกับประชาชนไทยอย่างแท้จริงแล้วไซร้ ก็ต้องยอมรับกติกา เดินเข้ามาในทำเนียบรัฐบาลอย่างองอาจ
นั่นคือต้องเข้ามาตามระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วหากเข้ามาด้วยอำนาจอื่น ถึงเข้ามาได้ก็จะมีแต่ความทุกข์ ไม่ต่างอะไรกับพระเอกภาพยนต์รูปร่างหน้าตาดี แต่ต้องก้มหน้าทำตามบทบาท ที่ผู้กำกับสั่งเท่านั้น ที่นี่ประเทศไทยมิใช่วงการมายา
การมาเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยอำนาจอื่น จะทำให้ความรู้ ความสามารถ และความดีที่นากยกรัฐมนตรีมีและสั่งสมมาตลอดชีวิต ต้องสูญเปล่า
แต่จะเข้ามาด้วยวิธีใดก็ตาม เมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ต้ององอาจ และกล้าหาญ เพราะความองอาจและกล้าหายนั้น ถึงไปขัดใจอำนาจอื่น หากเป็นความถูกต้อง ประชาชนจะอยู่ข้างนายกรัฐมนตรี...!!!
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที