ภาคสาม บทที่ ๘ การปฎิรูปประเทศไทย ด้วยการเรียนรู้จากน้ำ
วันที่ 28 ตุลาคม 2006 (09:24)
เรียน พ่อแม่ พี่น้อง มิตรสหาย ครู อาจารย์ ผู้นำทุกระดับในสังคม บ้านเมือง นักเรียน นักศึกษา เด็กๆ และเยาวชน อันเป็นที่รักยิ่ง
แม้ว่าข้าพเจ้านี้ จะไม่ได้มีความสามารถ พรสวรรค์เหนือผู้คนอื่น เลยแม้แต่น้อย
เป็นแค่เด็กชาวนา ธรรมดาคนหนึ่ง บนแผ่นดินไทย อันเป็น แผ่นดินแม่ที่มีพระคุณ และเป็นที่รักยิ่ง เท่านั้น
เมื่อเทียบกับ พ่อแม่ ครู อาจารย์ ผู้นำทุกระดับทุกท่าน ที่มีความสามารถ ประสบการณ์ คุณวุฒิ วัยวุฒิ แล้ว
ข้าพเจ้าก็เปรียบเป็นดัง หิ่งห้อยตัวน้อย ที่คอยเปล่งแสง อยู่ภายใต้ ทุกท่าน ที่เป็นดังดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้า เท่านั้นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม อาศัยที่ว่า ข้าพเจ้านั้น เป็นคนอยู่วงนอก และอยู่ไกลออกไป
จึงพอมองเห็นภาพในมุมกว้าง มุมอันหลากหลาย ที่ไม่อาจมอง หรือ สังเกตเห็น
จุดศูนย์กลาง หรือ จากจุดไกล้ๆ ได้
ขอเรียนว่า มีเจตนาเพียงเพื่อ อยากเสนอแนะ มุมมอง หรือ สิ่ง ที่ได้สังเกตุเห็น แด่ทุกท่าน
เพียงแต่คิดว่า ทุกท่าน อาจจะเมตตา ให้โอกาส บ้าง
เผื่อว่า อาจจะเป็นประโยชน์ แก่แผ่นดินแม่ อันมีพระคุณยิ่ง ไม่มากก็น้อย
มุมกว้างที่ข้าพเจ้าได้สังเกตว่า
ประการแรก ปัญหาของการปฎิรูปนั้น คือ ไม่สามารถ เชื่อมโยง ผู้คนส่วนใหญ่ เข้าด้วยกันได้
มีความสงสัย คลางแคลงใจสับสน ระหว่างผู้คนส่วนใหญ่ ที่ยังไม่ได้แก้ไข
การเชื่อมโยงผู้คน ส่วนใหญ่ เข้าด้วยกันได้อย่างยั่งยืนนั้น
ก็คือการเชื่อมโยงทางปัญญา นั่นเอง
ซึ่งปัญญา ก็คือ ความคิด ความเชื่อ ที่บริสุทธิ์ เป็นกลางอย่างแท้จริง
ไม่โอนเอียงเพราะ อคติ รัก เกลียดชัง โกรธแค้น
เป็นปัญญา ที่ก่อให้เกิด ความเท่าเทียม ความยุติธรรม
แก้ปัญหาความอยุติธรรม ได้อย่างยั่งยืน
การปฎิรูปประเทศไทยนั้น สามารถทำในมุมกว้าง สำหรับคนส่วนใหญ่ ได้โดย การเรียนรู้จากน้ำ
การเชื่อมโยงต้อง เชื่อมที่ปัญญา นั่นก็คือ ปัญญาต้องเกิดขึ้นในแต่ละคน
เป็นดังต้นน้ำของแต่ละคน แล้วไหลไปรวมกัน เป็นสายน้ำใหญ่
เพื่อหล่อเลี้ยงสังคม ดูแลบ้านเมือง ดูแลผู้คน เด็กๆ และลูกหลานเราได้
ประการสอง หากผู้ใหญ่ยังโดนน้ำป่าซัดอย่างหนักแล้ว เด็กๆของเรายิ่งหนักกว่า และพลัดหลง ง่ายกว่าอีก
กระแสการเปลี่ยนแปลง อันเชี่ยวกราดขณะนี้ เป็นปัญหาระดับโลก
หรือปัญหาโลกาภิวัตน์ ที่มีคนพูดถึง บ่อยๆนั่นเอง
ผู้ใหญ่ทุกคนย่อมประสบ ปัญหานี้ อย่างหลักหน่วง อย่างเท่าเทียมกัน
ทั้งทางตรง และทางอ้อม เพราะปัญหานี้ ย่อมหมุนอยู่ในโลกนี้ ไปนานเท่านาน
ไม่จากไปไหนเลย ขึ้นอยู่กับว่าจะหมุนไปหาฝั่งไหนก่อน เท่านั้นเอง
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง ที่ไหล่บ่า ท่วมท้น เชี่ยวกราดนี้
หากไม่รู้ตัวมาก่อน หากไม่ได้เตรียมมาก่อน หากประมาทไม่รู้ทัน
ก็ย่อมจะโดนกระแส อันเชี่ยวกราดซัด จนพลัดหลงทาง ได้ง่ายดาย
ทำให้เรา มึนงง หลงทาง ได้ง่ายดาย ทั้งทางภายนอก และภายใน
หากเราไม่มั่นใจ หวาดหวั่น ไม่แน่ใจ ว่าตอนนี้เราอยู่ตรงจุดใดกันแน่
หากเราหวาดหวั่น ไม่แน่ใจ ว่าตอนนี้เรากำลัง พลัดหลงทาง อยู่หรือไม่
ทางแก้ คือ ขอให้เราทุกคน มีความกล้าหาญ มีสติ
เพื่อพาร่างกาย และจิตใจของเรา ออกมาจาก ความยุ่งยากนั้น ให้ได้ก่อน การอื่น
เพราะขณะที่ เรากำลังพลัดหลงทางอยู่นั้น จิตใจและร่างกาย ย่อมปั่นป่วน
เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ความกลัว สติย่อมเหลือน้อย เต็มทน
ให้ทำตัวให้ช้าลง ทำใจให้ช้าลง หายใจให้ช้าลง และยาวขึ้น เพื่อรวบรวมสติ พลังกาย และใจ
เพื่อพาตัวเรา ออกมาจากสถานการณ์นั้น
ให้พยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางหลัก หรือ ทางผ่านของกระแสหลัก
ที่มีน้ำพัดพา อย่างเชียวกราด ให้พยายยามหาเส้นทางอื่น
ที่อาจมีอยู่หลายเส้นทาง ที่จะทำให้เราตั้งหลัก ปลอดภัยได้ก่อน การอื่น
ในขณะที่เด็กๆ ของเราทุกคนนั้น โดนหนักยิ่งกว่า เพราะยังเยาว์วัีย
ภูมิคุ้มกันยังน้อย และอ่อนประสบการณ์ ในการรับมือสิ่งเหล่าี้นี้
จะเห็นว่า ผู้ใหญ่ทุกคนนั้น หากสามารถ พาตัวเองออกมาจาก
ความยุ่งยากแล้ว เมื่อตั้งหลักได้ ย่อมสามารภ ช่วยเหลือเด็กๆ ได้ด้วย
สามารถนำไปสู่ การส่งต่อ ทิศทางที่ถูกต้อง ที่จะเป็นประโยชน์อันใหญ่หลวง
ต่อเด็กๆ ลูกหลาน ที่รับช่วงบ้านเมืองต่อจากเรา ในรุ่นต่อไป
ประการสอง หากเราเกิดพลัดหลงในป่า ให้เดินหาสายน้ำ และเดินตามสายน้ำออกไป
ชีวิตของเราเปรียบดัง การใช้ชีวิตในป่าใหญ่ มีสิ่งที่เราไม่รู้ ไม่เคยพบมากมาย
ในชีวิตจริงของเรา ต้องเจอกับ กระแสความเปลี่ยนแปลง อันเชี่ยวกราด
ทั้งกระแสการเมือง เศรษฐกิจ ข้อมูล ข่าวสาร การโฆษณา ชวนเชื่อต่างๆ
ความคิด ความเชื่อ ศรัทธา ความงมงาย สิ่งยั่วยุ ต่างๆ มากมาย
ส่งผลกระทบ ในชีวิตประจำวัน ทั้งทางกาย ภายนอก และืทางจิตใจ ภายใน อย่างหนัก เช่นกัน
หากเราเรียนรู้ เช่น การใช้ชีวิตในป่า และถ้าหากเราหลงทางนั้น
เราจะต้องหาสายน้ำหลักให้เจอ แล้วเดินตามสายน้ำ ออกไป
เช่นกันกับชีวิตประจำวันของเรา หากเราหลงทาง ให้เดินหาสายน้ำแห่งปัญญา
ซึ่งในสังคม ประเทศชาติ ของเรา ก็คือ ปัญญาของนักปราชญ์ ทั้งหลายนั่นเอง
ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ รอบๆ ตัว ในสังคมเรา เป็นผู้ที่ มีความเป็นกลางอย่างแท้จริง
ไม่โอนเอียง โอนเอนแก่ฝ่ายใด ด้วย อคติ ความรัก ความเกลียดชัง ความโกรธแค้น ส่วนตัว
มีสติปัีญญา บริบรูณ์ มีจิตใจ อยู่เหนือกระแสที่ไหลผ่าน จึงไม่โอนเอียงไปกับกระแสต่างๆ
คอยเตือนสติผู้คนได้ ท่ามกลางความสับสน วิกฤติต่างๆ ได้
สามารถพิสูจน์ว่าเป็นปัญญาของแท้ ได้อย่างยาวนาน ผ่านวิกฤติ ผ่านกาลเวลา ที่ผ่านมา
หากว่าเรา ยังไม่เจอสายน้ำในป่า หรือสายน้ำในปัญญา แห่งชีวิตจริง
ขอให้ กล้าหาญ มีสติ มีกาย วาจา ใจ ที่บริสุทธิ์ และปฎิบัติ อย่างต่อเนื่อง เข้มแข็ง
สิ่งนี้จะเป็นดัง ต้นน้ำแห่งปัญญาส่วนตัว ของเรา ไหลหล่อเลี้ยง กายใจ เราในเบื้องต้น
จะเหนี่ยวนำ ดึงดูด นำทาง นำพา ให้เราไปพบ กับสายน้ำเส้นหลักได้ ในที่สุด
ดังธรรมชาติ ที่สายน้ำเล็กๆ จะไหลรวมกัน ไปสู่สายน้ำหลัก เสมอๆ
จะเห็นว่า ผู้ที่เป็นต้นแบบ เป็นแบบอย่าง เป็นผู้มีสติปัญญา นั้น
มีคุณอันใหญ่หลวงยิ่ง แก่ผู้คนส่วนใหญ่ แก่เด็กๆ ลูกหลาน ของเรา ทุกคน
ประการสาม หากไม่แน่ใจ สงสัย คลางแคลงใจ ท่ามกลางสายน้ำใหญ่ ให้เดินทวนน้ำ ไปที่ต้นน้ำ เพื่อตรวสอบ
มนุษย์เราทุกคนย่อมเป็นดังสายน้ำเล็กๆ ไหลไปรวมกันเป็นสายน้ำใหญ่
ในชีวิตจริง ย่อมมีทั้งสายน้ำที่ดี และไม่ดี มีทั้งที่เป็นคุณ และเป็นโทษ
เมื่อไหลรวมกันเป็น ทั้งคุณทั้งโทษ ย่อมส่งผล ถึงทุกคน ทั้งทางตรง และทางอ้อม ไม่ช้าก็เร็ว
หากในชีวิตจริง เราไม่แน่ใจ สงสัย คลางแคลงใจ
ต่อความรู้ ความเชื่อ ศรัทธา ความงมงาย การปฎิบัติต่อกันมา
ขอจงกล้าหาญ และตรวจสอบด้วยสติ อันเข้มแข็ง บริบรูณ์
เพื่อใจเป็นกลางอย่างแท้่จริง
จงถามคำถามพื้นฐาน เพื่อเดินทวนน้ำ ขึ้นไป
เพื่อหา ที่มาที่ไป อย่างชัดแจ้ง เพื่อหา สาเหตุอันแรกสุด
หรือต้นน้ำ อันเป็นสาเหตุ มูลเหตุ แรกของสิ่งที่เรา สงสัย คลางแคลงใจ
หากเราปล่อยความสงสัย ความคลางแคลงใจ ทิ้งไว้
จะกลายเป็นสารพิษ ที่ปล่อยลงสู่สายน้ำของเราเอง
ย่อมเป็นพิษ ส่งพิษโดยตรงแก่ร่างกาย จิตใจเราเอง เป็นอันดับแรก
และจะไหลรวมไปส่งผล แก่ส่วนรวม ผู้ืื่อื่นในตอนท้าย
ทุกท่าน ลองพิจารณาดูว่า หากความสงสัย เคลือบแคลงใจ
มีอยู่ในคนหมู่มาก ในชีวิตจริง ซึ่งมีตัวอย่างมากมาย
ในบ้านเมืองเรา ในตอนนี้ จะเกิดอะไรขึ้น กับตัวเรา
ครอบครัวเรา เด็กๆ ลูกหลานของเรา กันแน่
จะเห็นว่า ย่อมเกิดการไม่วางใจ ไม่ไว้เนื้่อ เชื่อใจกันเกิดขึ้น
ทุกคนย่อมปกป้องตัวเอง เพื่อให้ปลอดภัย จากพิษที่เกิดขึ้น
เมื่อการปกป้องนั้น ขัดแย้ง เบียดเบียนกันขึ้น ย่อมเกิดความบาดหมาง
ความคับแค้น ความเกลียดชัง ความแตกแยก และปัญหาต่อเนื่อง
มากมาย ไม่จบสิ้น
ขอให้ทุกท่าน ประกอบด้วย สติปัญญา กล้าหาญ ซื่อตรง กาย วาจา ใจ ที่บริสุทธิ์ เข้มแข็ง
เพื่อก่อเกิดสายน้ำที่บริสุทธิ์ ไม่เป็นพิษ เป็นคุณแก่ร่างกาย จิตใจ ของเราเอง
แล้วไหลไปรวมกันกับสายน้ำอื่น เป็นสายน้ำหลัก ที่คอยหล่อเีลี้ยงผู้คน
เด็กๆ ลูกหลานของเรา เพื่อช่วยเจือจาง พิษที่เกิดมาจาก ต้นน้ำแห่งความสงสัย
แห่งความคลางแคลงใจ ที่ก่อให้เกิดสายน้ำที่เป็นพิษ ที่มีมากเหลือเกิน จนเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
ต่อเราทุกคนในขณะนี้ และจะส่งผลกระทบต่อเรา อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ในอนาคตอันไกล้
ท้ายสุด ขอให้ทุกท่านมีกำลังกาย กำลังใจ ที่ดียิ่ง ในการทั้งปวง ขอขอบพระคุณยิ่ง
ด้วยความยินดี เต็มใจ เปิดกว้าง เป็นเกียรติ อย่างยิ่ง ต่อความรู้สึก ความคิดเห็น ของทุกท่าน
และขอเชิญทุกท่าน แวะเยี่ยมชมทั้ง ๒๗ บทความ ได้ที่
http://www.tpa.or.th/writer/author_des.php?passTo=e7c730f5848300fc6f352f248796df86&authorID=63
และ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=cxoasia&group=1
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที