เวลาเราหายใจ พูด ไอ หรือจาม จะมีละอองฝอยของหยดน้ำลอยออกมาจากร่างกายของเราครับ (Droplets) หยดน้ำเล็กเหล่านี้สามารถลอยฟุ้งไปในอากาศได้และในระหว่างที่มันยังไม่ระเหย ไป เชื้อโรคที่อยู่ในนั้นก็ยังสามารถแพร่ไปยังคนรอบข้างได้อยู่ ระยะอันตรายคือ 1 เมตร ส่วนระยะสำหรับการจามอาจจะไกลถึง 3 เมตร
ดังนั้นถ้าอยู่ในกรุงเทพฯก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยครับที่เราจะหลีกเลี่ยงละอองเหล่านี้ หากมันลอยออกมาจากปากของคนที่ป่วยแล้ว
การแพร่กระจายของเชื้อด้วยวิธีแบบนี้จะลดลงได้หากว่า เรามีการป้องกันครับ การป้องกันมีได้ทั้งสองทางก็คือ คนเป็นใส่หน้ากากอนามัย และคนไม่เป็นใส่หน้ากากอนามัย แม้ว่าจะไม่มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันได้ชัดเจนว่าคนไหนใส่ป้องกัน"การติดเชื้อ"ได้ดีกว่า ... แต่ก็มีข้อเท็จจริงที่ว่า
ดังนั้นคนที่ควรใส่หน้ากากอนามัยนี้ก็น่าจะเป็นคนที่เป็นโรคมากกว่าคนที่ไม่เป็นโรคครับ แต่ว่าคนที่ไม่เป็นจะใส่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร
วิธีการใส่หน้ากากอนามัยอย่างถูกต้องก็คือ การใส่แล้วทำให้อากาศผ่านตัวหน้ากากครับ เพราะหน้ากากจะได้กรองเอาละอองไป
ส่วนการใส่หน้ากากที่ไม่มิดชิดหรือมีรูรั่วจะไม่เกิดประโยชน์ในแง่การกรองเลย(อาจจะแค่ป้องกันละอองใหญ่ๆที่กระเด็นมาโดนหน้าเท่านั้น)
ภาพตัวอย่าง
แต่เลือกเท่ห์หรือเลือกติดหวัดก็ต้องเลือกเอาล่ะครับ
สำหรับคนที่ไปซื้อหน้ากากอนามัยมาจากร้านต่างๆ แล้วไม่แน่ใจว่าใส่ถูกหรือไม่ ผมทำเป็นคลิปมาให้ดูครับ
สรุปแล้วขอให้ใส่ให้ถูกวิธีครับเพื่อจะป้องกันได้ทั้งตัวคุณและคนรอบข้าง
บางคนอาจจะสงสัยว่าเชื้อหวัดมันมากับอากาศนี่นา แล้วเราจะล้างมือไปทำไม ช่วยอะไรได้หรือ
....ต้องย้อนกลับไปดูที่ภาพในความเห็นที่ 1 ครับ จะเห็นว่าขนาดของอนุภาคที่ออกมามีตั้งแต่เล็กไม่กี่ไมครอน ไปจนกระทั่งถึง 1000 ไมครอน
เมื่ออนุภาคลอยออกมา พวกที่เล็กมากๆ จะระเหยไปและเชื้อก็ตายไป พวกที่เล็กปานกลางลอยไปได้ประมาณ1-3เมตร และลอยเข้าจมูกไปได้ ส่วนพวกที่ขนาดใหญ่ๆ บางทีจะติดตามมือที่เอาไปบังปากเวลาไอ จากนั้นก็ไปจับลูกบิดประตู จับโต๊ะ ทำให้เชื้อไปเปื้อนตามพื้นผิว คนที่เดินตามมาทีหลังจับเข้าไป เชื้อก็ไปอาศัยความชื้นจากเหงื่อในมือทำให้อยู่ได้นานขึ้น สุดท้ายพอเอามือไปขยี้ตา แคะจมูก หรือหยิบของเข้าปาก เชื้อโรคก็แล่นเข้าได้อย่างรวดเร็ว
บางคนอาจจะมองว่าเว่อร์เกิดไปหรือมาทำให้ตระหนก ... งั้นมาฟังเรื่องนี้ครับ
ชายพิการแขนขาขยับไม่ได้คนนึงไปรพ.เพื่อไปตรวจร่างกายตามนัดปกติ เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ก็ได้ตรวจหน้าท้องของชายคนนั้น เป็นหน้าท้องแห้งๆไม่ได้สกปรกอะไร
คุณคิดว่าจะต้องล้างมือหรือไม่ ... ทั้งที่ไม่มีอะไรเปียกชื้น
คำตอบอยู่ในภาพครับ ... ชายพิการคนนั้นมีการตรวจพบว่ามีเชื้อMRSAซึ่งเป็นเชื้อโรคดื้อยา อยู่ในช่องจมูก ... และเมื่อเอามือเจ้าหน้าที่ที่ตรวจหน้าท้องไปป้ายเจลเพาะเชื้อ ก็พบว่ามีเชื้อ MRSA ซึ่งเป็นเชื้อดื้อยาอยู่จริงๆ
ดังนั้นหวัด แม้ว่าจะเป็นไวรัสซึ่งแตกต่างจากMRSA แต่ว่ามันก็มีความเสี่ยงที่จะติดได้ครับ
ที่สำคัญ ... ที่เราเน้นกัน เราไม่ได้ป้องกันแต่หวัดอย่างเดียว ... เราต้องการป้องกันโรคอื่นๆไปด้วยพร้อมกัน ซึ่งการล้างมือนั้นช่วยได้
จากการรณรงค์ให้ล้างมือเป็นเวลา 10 กว่าปี อุปสรรคสำคัญคือจำไม่ได้ว่าต้องล้างอย่างไรครับ สมัยสัก 10 ปีก่อน มีการล้างมือ 7 ขั้นตอน ซึ่งพอสอบแบบให้ท่องผมก็จำไม่ได้หรอกครับ (แต่ทำเป็น) และคิดว่านั่นคือสาเหตุนึงที่คนอาจจะยังไม่ชอบการล้างมือให้ถูกวิธี เพราะคิดว่ายุ่งยากจนเกินไปกับการมานั่งจำว่าต้องล้างอย่างไร
ภาพจากlinkนี้เป็นภาพที่ผมเห็นภาพแรกๆเมื่อสัก 10 ปีก่อน และค่อนข้างชัดเจนครับ อาจจะนำไปลองหัดกันได้ แต่ถ้ารู้สึกว่ายังมากวิธีเกินไป เดี๋ยวเรามาดูวิธีอื่นกันครับ
การล้างมือ 6 ขั้นตอนนี้เป็นวิธีที่ทางผมรู้มาจาก วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล ครับ รายละเอียดคือ
กระทรวงสาธาณสุข วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล และหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุขได้ประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนล้างมือให้ ครบ 6 ขั้นตอนเพื่อลดการติดเชื้อ
วิธีจำการล้างมือ 6 ขั้นตอนแบบใหม่ง่ายมาก ๆจริงๆพออ่านเข้าแล้ว มันมีแค่สามขั้นตอนเท่านั้นเองครับ เพียงแต่ว่าเค้านับมือทั้งสองข้างแยกขั้นตอนกัน ดังนั้นง่ายมากๆเลยจริงๆ รายละเอียดเข้าไปดูได้ที่ link
http://www.vajira.ac.th/kt/modules.php?name=News&file=article&sid=254 มีfile PDF ด้วยถ้ายังไม่แน่ใจว่าล้างยังไง เรามาดูคลิปตัวต่อไปกันครับ
และคลิปนี้เป็นการล้างมือแบบเดิม แต่ผมทำเน้นๆให้ดูมือเดียว เห็นกันจะๆครับ
จำง่ายๆครับ ส่วนที่จะเข้ามามีปัญหาคือส่วนที่แคะแกะเกาหรือปลายนิ้วนั่นเอง ... ดังนั้นเวลาล้างทุกครั้งต้องใช้ปลายนิ้วถูลงไป จำอะไรไม่ได้เลย ก็ล้างเน้นปลายนิ้วมือครับ ... ส่วนสิ่งที่บางคนอาจจะสังเกตเห็น เวลาสาธิตล้างมือผมไม่ใส่แหวนครับ ... จริงๆทำเฉพาะเวลาเข้าห้องผ่าตัด เวลาเข้าห้องน้ำขืนถอดอาจจะหายได้ ดังนั้นอนุโลมไม่ต้องถอดแหวนก็ได้ครับ ปล. การแนะนำว่าไม่ต้องถอดแหวน ทำให้กระทู้นี้ไม่สามารถเข้าห้องสวนลุมได้ครับ ... มันผิดหลักวิชาการทฤษฎี
Reference ภาพ
ผู้เขียน: หมอแมว
ที่มา: http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X7996868/X7996868.html
ขอขอบคุณคุณหมอแมว สำหรับบทความดีๆ ที่มีประโยชน์ครับ
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที
