ในปัจจุบันของการบริหารงานและบริหารคนในยุคฐานความรู้ และหลายองค์การก็มุ่งความพยายามในการสร้างสรรค์องค์การให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้โดยนัยเพื่อปูพื้นฐานของการแข่งขันได้อย่างยั่งยืนและมั่นคงในความเติบโตขององค์การในปัจจุบันและอนาคต ดูเหมือนว่า การสอนงาน ซึ่งเรานำมาเป็นคำเรียกของ coaching จะเป็นบทบาทหน้าที่ที่สำคัญอันหนึ่งของหัวหน้างานแทบจะทุกระดับไปซะแล้ว หลายองค์การกำหนดให้การสอนงานนี้ เป็น competency หนึ่งที่จะใช้ประเมินหรือวัดไปที่หัวหน้างาน เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาคุณลักษณะที่ว่านี้ให้เกิดขึ้นกับหัวหน้างาน
แน่นอนครับว่า การสอนงานนี้ เป็นเรื่องที่ไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมจากหน่วยงานภาคเอกชนเท่านั้น ในระบบราชการเอง ก็มีการผลักดันให้นำมาปรับใช้ด้วยเช่นกัน
หากถามว่าการสอนงานคืออะไร ผมขอสรุปอย่างง่ายได้ว่า การสอนงานก็คือ การที่บุคคลคนหนึ่ง ที่โดยมากก็คือพนักงานที่มีอาวุโส หรือตำแหน่งงานที่สูงกว่า อาจจะนอกสายงานหรือในสายงานโดยตรง ทำหน้าที่ช่วยบุคคลอีกคนหนึ่ง ที่มักเป็นพนักงานใหม่ หรือพนักงานที่ต้องมาเรียนรู้ในงานที่เขาจะต้องรับผิดชอบ จากการเปลี่ยนสายงาน การได้รับมอบหมายงานเพิ่มเติม การได้รับมอบหมายหรือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้น พัฒนาขีดความสามารถในการทำงาน รวมทั้งการมีพฤติกรรมในการทำงานที่เหมาะสมให้ได้ผลดี
การสอนงานนั้น มีอะไรที่มากกว่าการ สอน โดยวิธีการหรือเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อให้รู้และเข้าใจเนื้อหา แต่การสอนงานยังรวมไปถึงเรื่องของการให้กำลังใจ การเกื้อกูลหนุนช่วย การให้คำแนะนำเพื่อแก้ไขปัญหา การปรับปรุงทั้งในเรื่องงานและส่วนตัว
ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า การสอนงานเป็นเรื่องไม่เล็กเลย จริงมั้ยครับ คุณสมบัติของผู้ที่มาทำหน้าที่ในการสอนงานจึงเป็นเรื่องที่ต้องคัดกรองกันอย่างดีเลยล่ะครับ
โดยทั่วไป เราจะได้เห็นการสอนงานในส่วนงาน ที่เป็นบทบาทของหัวหน้างานระดับต้นซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะหัวหน้างานที่เป็นผู้บริหารระดับสูง มักจะไม่มีเวลามากนักที่จะมานั่งสอนงานให้กับลูกน้องของตัวเองในระดับที่รองลงมาจากเขา
ตัวขับเคลื่อนงาน และทำให้การสอนงานเป็นระบบที่สร้างสมรรถนะขีดความสามารถให้กับองค์การอย่างได้ผล จึงเป็นการสอนงานที่เป็นบทบาทหน้าที่ของหัวหน้างานระดับต้น เช่น Supervisor ผู้จัดการแผนก (หากแผนกเป็นหน่วยงานที่เล็กกว่าฝ่าย) เป็นต้น องค์การ จึงควรหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพในการสอนงานของคนกลุ่มนี้เป็นหลักครับ
ผมคิดว่าก็น่าจะเป็นการดีนะครับ ที่หัวหน้างานกับลูกน้องในสายงาน จะมีเวลาในแต่ละสัปดาห์สัก 1 ชั่วโมง เพื่อมาสอนงานกัน สร้างความรู้ในงาน และอาจจะรวมไปถึงการระดมแลกเปลี่ยนความรู้และทักษะในการแก้ไขปัญหาระหว่างกัน
ผมเองเชื่อว่า ลูกน้องเอง แทบจะทุกคนก็อยากที่จะทำงานให้มีประสิทธิภาพ และได้ผลงาน อย่างที่ใจเขาต้องการ และแน่นอน องค์การหรือหัวหน้างานนั้นเอง จะต้องคอยส่งเสริมให้ลูกน้องทำงานให้ได้อย่างที่องค์การต้องการจากเขา
การสอนงานกับการบริหารผลการปฏิบัติงาน หรือ Performance Management จึงเป็นสองเรื่องที่หนุนเสริมกัน แยกจากกันไม่ได้ และจะทำให้ได้ผล ก็น่าจะทำสองเรื่องนี้ไปพร้อมกัน
หัวหน้างานในองค์การของผมหลายท่านถามผมว่า เมื่อไหร่ล่ะที่เขาจะสอนงาน และถามจริงการสอนงานนั้นมีประโยชน์อะไร ผมตอบว่า เราควรใช้การสอนงานเป็นเครื่องมือในการพัฒนาการเรียนรู้ของคนในหน่วยงานของเรา เมื่อเราเห็นว่า พนักงานของเขา จำเป็นแล้วที่จะต้องได้รับความรู้ในการทำงานอย่างถูกต้อง หรือได้รับความรู้อื่นเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดปัญหาของผลงานขึ้นมาครับ
ประสบการณ์มันสอนผมว่า เมื่อเรามอบหมายงานให้ลูกน้องไป อย่างได้คาดหวังเสียเต็มที่ว่าเขาจะสามารถทำงานให้เราได้อย่างที่ใจคิด หรือเต็มร้อย เพราะบางครั้งเขาอาจจะรับงานจากเราโดยที่ไม่อยากขัดแย้งหรือขัดใจเราก็ได้ และนั่นก็ไม่ใช่หลักประกันว่า เขาจะรู้ว่าจะต้องจัดการงานที่เรามอบหมายให้อย่างไรเช่นกัน แต่หัวหน้างานควรจะติดตามงานกับเขาโดยหมั่นสอบถามถึงวิธีในการทำงานของเขา ให้คำแนะนำวิธีการทำงานที่เหมาะสม ที่ผมบอกว่าเหมาะสมนั้นก็เพราะว่า หัวหน้างานส่วนใหญ่มักมีแนวโน้มที่จะโน้มน้าว หรือ สั่ง ให้ลูกน้องใช้วิธีการทำงานที่หัวหน้างานอยากให้ทำ เมื่อหัวหน้างานทำแบบนี้ ซึ่ง ไม่เหมาะสม ลูกน้องก็มักจะซึมซับพฤติกรรม และรอรับคำสั่ง และหากสิ่งที่สั่งให้ลูกน้องทำนั้นไม่สำเร็จ ก็เป็นไปได้ครับว่า ในใจของลูกน้องเขาจะคิดว่า ถ้าใช้วิธีการเขาก็อาจจะไม่ผิดพลาดหรืออาจจะสำเร็จได้ และนานนานเข้า เขาก็จะขาดศรัทธาในตัวหัวหน้างาน
เราอยากให้ลูกน้องเป็นหุ่นยนต์ หรือเป็นมนุษย์ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ริเริ่มงานด้วยตัวของเขาเองล่ะครับ วิธีหลังนี้ ย่อมต้องใช้เวลา และสร้างกันขึ้นมาบนพื้นฐานของความพยายามอย่างสูงยิ่ง แต่ได้ผลยั่งยืนกว่าแน่นอนครับ
ในแง่ประโยชน์นั้น การสอนงานช่วยให้ผู้ได้รับการสอนงาน ผู้สอนงานและองค์การ ได้รับประโยชน์ทุกฝ่ายล่ะครับ ในแง่ของลูกน้อง หรือผู้ที่ได้รับการสอนงาน ก็จะได้พัฒนาความรู้ความเข้าใจในงานที่ทำ และได้รับมอบหมาย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความพึงพอใจในการทำงาน และช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนงานและผู้ได้รับการสอนงาน ที่สำคัญ การสอนงาน เป็นวิธีการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรที่มีต้นทุนต่ำมาก เมื่อเทียบกับการฝึกอบรมภายนอกองค์การ ซึ่งเหมาะสมกับภาวะลดต้นทุนองค์การในปัจจุบัน
การสอนงานนั้น มีหลักสำคัญพื้นฐานที่ทั้งผู้สอนงานและผู้ได้รับการสอนงานจะต้องทราบและเข้าใจตรงกันก็คือ อะไรคือสิ่งที่คาดหวังที่จะได้รับจากการสอนงาน ทั้งผู้สอนงานและผู้ได้รับการสอนงานจะต้องทำอะไร และผู้ได้รับการสอนงานจะต้องได้รับการพัฒนาทักษะความสามารถอะไร
เอาล่ะครับ ว่ากันมายืดยาว โอกาสหน้า ผมจะมาเล่าสู่ท่านผู้ฟังในเรื่องของบทบาทของแต่ละฝ่ายที่จะต้องทำหรือควรจะเป็น เพื่อให้การสอนงานเป็นการสอนงานครับ
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที