ใครอยากตกงานบ้าง? ยกมือขึ้น.....
เรื่องธรรมดาที่จะไม่มีใครยกมือ แต่ถ้ามีคนนั้น ก็น่าจะไม่ธรรมดา จริงมั้ยครับ ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่เค้าเชื่อว่า คงมีแต่คนบ้าที่อยากตกงาน....
ขอปรับคลื่นไปทางวิชาการสักนิดหน่อยนะครับ ว่ากันว่า ระลอกสองของวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ถาโถมมาอย่างรวดเร็ว สมกับเป็นยุคโลกไร้พรมแดนนี้ หากเปรียบไปแล้ว ก็เหมือนกันโรคระบาดที่เมื่อเคยเกิดแล้ว มันก็จะกลายพันธุ์มาเกิดอีก (แบบไม่ได้กลับชาติมาเกิด) เป็นโรคร้ายอะไรอีกอย่างหนึ่ง แต่มีดีกรีของความรุนแรงมากขึ้น พายุเศรษฐกิจระลอกนี้ ทำเอาของสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกาแทบตั้งตัวไม่ติด แม้จะใส่เงินอุดหนุนเข้าไปนับได้จำนวนหลายสิบเท่าของ GDP ประเทศไทย (ตีประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท) แล้วก็ตาม สร้างความโกลาหลปั่นป่วนทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศกันยกใหญ่
ผลกระทบที่เกิดขึ้นในด้านหนึ่งก็คือ นักลงทุนเสียศูนย์ ทุกคนมุ่งรักษาตัวรอดเป็นยอดดี ชำระบัญชี ตามแนวทางหนี้ และเก็บเงินสดไว้ในมือก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้นี้ ยากที่จะคาดเดาจริงจริง
ประเทศไทยเราเอง ก็เห็นจะไม่พ้นจากลูกโซ่ของวิกฤตนี้เช่นกัน ข่าวคราวที่ได้ยินแทบจะประจำวันเลยก็ว่าได้คือเรื่องโรงงานเริ่มลดเวลาการทำงาน ตัดจ่ายค่า O.T. หรือตัดจ่าย Motivate (เช่นบริษัทของที่ผู้เขียนทำงานอยู่) และปลดคนงานบางส่วน แต่ที่แย่ที่สุด คือ ทยอยปิดบริษัทลงไปทีละเล็กละน้อย พนักงานไร้ความหวัง ทำงานกันแบบไปวันวัน ตั้งคำถามกับตัวเองและบริษัทตลอดว่า วันต่อไปจะเป็นอย่างไร
ประมาณการณ์ตัวเลขที่น่าตกใจว่า ปี 2552 อาจมีคนว่างงานถึง 1 ล้านคน หลายคนฟังแล้วแล้วปวดกระหม่อมตามมาด้วยอาการร้อนๆ หนาวๆ ไปตามกัน ซึ่งกระแสเลย์ออฟมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ท่านๆ นี้ ทำให้คนเกิดอาการจิตตกคล้ายเป็นโรคติดต่อ ว่าจะเป็น 1 ในล้าน หรือเปล่านะ
ในหน้าร้อนแบบนี้ ไม่เพียงแต่ตั้งตัวเตรียมตนไว้รับกันพายุฤดูร้อนอย่างเดียว ยังต้องตั้งรับพายุที่อาจทำให้ ใจร้าว อันนี้ด้วย แต่ก็ยากจะบอกได้ว่า พายุนี้จะก่อตัวและกระทบกับเราเมื่อใด ผู้รู้ท่านบอกว่า ทางที่ดีคือ พยายามทำงานให้เกิดผลงานให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เมื่อถึงเวลาแล้ว เรากลายเป็นคนที่ ไม่ใช่ สำหรับองค์การ อย่าลืมนะครับว่า ในภาวะตลาดแรงงานปัจจุบัน คนคุมเกมของตลาดคือนายจ้าง ซึ่งมีสิทธิที่จะเลือกใครก็ได้ จากตัวเลือกที่หลากหลาย และที่แน่นอนก็คือ นายจ้างองค์การต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่อยากได้คนทำงานที่เก่งทั้งนั้น
สำหรับนักสรรหาบุคลากรที่เรียกว่า recruiter แล้ว หากคนที่มาสมัครงานมาประสบการณ์ มีคุณวุฒิและคุณสมบัติโดยรวมที่ไม่แตกต่างกันมาก (ไม่นับเรื่องหน้าตาชาติตระกูล) คนที่จะได้รับการเลือกก็คือคนที่ มีสิตปัญญาดี สติปัญญานี้ ได้รับการพิสูจน์ด้วยการวิจัยที่หลากหลายนะครับว่า มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ในทางที่แปรผันตรงต่อกัน
แต่....หากว่าคุณต้องเป็น 1 ในผู้เคราะห์ร้ายขึ้นมาจริง ต้องเจอกับอาการ ตกงานแล้ว... อย่างไม่คาดฝัน อยากให้คุณได้ใช้โอกาสทบทวนอะไรบางอย่าง เพราะหลังจากตกงาน ยังมีหลากเรื่องหลายราวให้คุณคุณทั้งหลายที่เป็นมนุษย์เงินเดือนลงมือจัดการสะสางตัวเองในหลายเรื่องเพื่อให้พร้อมรับสถานการณ์ที่เป็นวันฟ้าเปิดอีกมากทีเดียว
อย่ามัวนั่งจิตตกจมอยู่กับความเศร้า และฟูมฟายในความเคราะห์ร้ายที่มาเยือนตัวเรา แม้ว่าจะพูดง่าย แต่ทำยากจริง พี่น้องมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย จงตั้งสติยังต้องทำและดำเนินชีวิตต่อไป ในชีวิตจริงนั้น เมื่อไม่มีงานแต่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไม่ได้ลดลงไปด้วยเลย บ้างก็ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ตู้เบ็น ทีวีสารพัด แต่กำลังใจเท่านั้นล่ะครับ ที่จะทำให้เราต่อสู้ต่อไปได้
ผมเองอยากนำเสนอข้อมูล เพื่อเป็นกำลังใจให้กับทุกท่าน มองเรื่องร้ายเป็นเรื่องดี เหมือนกับข้อดีของการอกหัก ขอเรียกมันว่า 10 ข้อดีของการตกงาน ก็แล้วกันครับ
(1) ว่างตลอด 24 ชั่วโมง เหมือนกัน 7-eleven อันนี้แหล่ะแน่นอน ว่างแบบไม่มีความกังวลหลังจากที่ตั้งใจทำงาน อย่างหนักหนาสาหัสมาแล้ว
(2) ได้ใช้เวลาว่างที่เมื่อครั้งทำงานอยู่นั้น แทบจะไม่มีเวลาลืมหูลืมตามองอะไรเลย ได้คิดพิจารณาในสิ่งที่ผ่านมาของชีวิต ว่าขณะนี้เรากำลังต้องการอะไรอยู่
(3) ตื่นสายได้ 5555 อันนี้ชอบมั๊กๆ เพราะไม่ต้องตื่นก่อนไก่ เพื่อจะต้องรีบตะเกียกตะกายไปยืนรอรถแต่เช้ามืด
(4) มีเวลาทำบุญใส่บาตรและอยู่กับครอบครัวตอนเช้า อ่ะอันนี้จริงถ้าไม่ใช่วันสำคัญที่เป็นวัดหยุด ทางศาสนาคงไม่เห็นมนุษย์เงินเดือนกันเป็นแน่
(5) ได้ไปเที่ยวพักผ่อนแบบไม่ต้องกังวล ไม่ต้องห่วงอะไร สบายๆ
(6) มีเวลาจิบกาแฟ ปาท่องโก๋ตอนเช้า นั่งกระดิกเท้าอ่านหนังสือพิมพ์ โดยไม่ต้องคอยตะแคงคอหันมองนาฬิกาว่ามันจะได้เวลาทำงานหรือยัง
(7) ไม่ต้องกินยาแก้ปวดหัว เวลามั่วกับงาน หัวบานจนฟู
(8) ได้มีเวลาอิสระทำอะไรได้อย่างใจคิด
(9) มีเวลาให้ครอบครัวอันเป็นที่รักมากขึ้น ทำให้มีความอบอุ่น
(10) ที่สำคัญไม่ต้องรับคำสั่งเจ้านาย สบายจริง
ที่ว่าไปนี้ ไม่ได้คิดไม่ได้ทำนั่นล่ะดีที่สุด แต่หากจะมี ก็ลองปรับความคิดด้านลบที่อาจจะเกิดขึ้นกับท่าน มาเป็นมุมคิดแบบนี้ จะช่วยได้มาก
อยากให้กำลังใจคนที่กำลังท้อแท้จากการตกงานกับหลายท่านๆ และหากหันมาคิดบวกแล้วจะทำให้สมองของคุณบอกกับคุณว่ามีอะไรอีกมากในช่วงที่กำลังตกงาน ต้องทำและจัดการ เพื่อเตรียมรับกับการไปเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ เช่น ที่ทำงานใหม่ๆ เพื่อนร่วมงานใหม่ๆ หากคุณยังอยากรู้ว่าต้องจัดการอะไรบ้างในช่วงที่ตกงานต้องทำลองอ่านในตอนถัดไปนะครับ นอกจากนี้ มีสิ่งหนึ่งที่อยากให้เราทุกท่านเห็นถึงความสำคัญงานก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญของหลายๆ คน แต่คุณก็อย่าลืมให้เวลากับคนรอบๆ ข้างที่คุณรักและเขาก็รัก เพราะว่างานกับเงินสำคัญก็จริง แต่คนที่คุณรักเค้าเหล่านั้น คุณเคยวัดค่าความสำคัญดูบ้างหรือเปล่า ลองถามคนที่รักดูบ้างว่า ต้องการให้คุณทำงานหนักนั้นไปเพื่อใคร บางทีเค้าอาจจะไม่ได้ต้องการให้คุณทำงานหนักมากเป็นบ้าเป็นบอ จนเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะการเจ็บไข้ได้ป่วยในบ้างครั้งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แบ่งเวลาสัดนิด อย่าทุ่มเททั้งชีวิตของคุณให้กับงานจนไม่มีเวลาจะให้ความสุขกันตัวเอง อย่าลืมว่าเวลาของคนเรามีน้อยและเวลาของความสุขก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน หากเราเก็บเวลาเอาไว้มีความสุขภายหลังอาจจะไม่ทันให้ได้มีความสุขเสมอไป ฉะนั้นจงใช้เวลาทุกวินาทีของคุณอย่างคุ้มค่าที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียในภายหลัง
(ขอบคุณคุณทิพอาภา ลี้ประเสริฐ ที่ริเริ่มนำเสนอข้อเขียนดีดีนี้เพื่อมานำเสนอท่านผู้อ่าน)
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที