ผมได้รับบทความทางอินเตอร์เนต เป็นความรู้จากจากหนังสือชื่อ "คิดอย่างผู้นำและผู้ตาม โดย อ.สุพัตรา สุภาพ ซึ่งท่านได้นำเสนอข้อคิดของศาสตราจารย์จรูญ สุภาพ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เคยกล่าวถึงเรื่องการทำงาน 26 F ทำงานมีประสิทธิภาพได้อย่างน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อ เป็นข้อคิดที่มีประโยชน์สำหรับมนุษย์งานอย่างผมและทุกท่าน ซึ่งผมคิดว่า เราน่าจะสามรถใช้มันเป็นแนวทางในการทำงานได้
Friendly = เป็นมิตร
ทำงานที่ใดก็ตาม หากเป็นมิตรกับผู้คนรอบตัวมีแต่ได้มากกว่าเสีย ไม่ว่าจะมีตำแหน่งอะไร นาย ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หรือบุคคลภายนอก เพราะนี่คือบันไดของการทำความคุ้นเคย รู้จัก และเปิดใจให้กัน แล้วยังทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียด ช่วยสร้างความสัมพัธ์ที่ดีในการทำงาน
Feeling = สร้างความรู้สึกที่ดี
ความรู้สึกที่ดี ๆ เกิดจากความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งช่วยให้เกิดความผูกพันและความชอบพอรักใคร่ เป็นความเอื้ออาทรต่อกัน เช่น เขางานมากก็ช่วยกันทำ เขามีทุกข์เราก็ปลอบ เขาทำผิดพลาดก็ให้กำลังใจ เพราะคนเราอาจมีความรู้สึกสะเทือนใจจากสิ่งที่คิดวท่าทำดี หรือเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันจนทำตัวไม่ถูก งานการจึงอาจไม่ดีเท่าที่ควร แต่ถ้ามีคนรู้สึกดี ๆ กับเขาบ้าง เขาอาจยืนหยัดสู้กับชีวิตหรืองานต่อไป
Frank = เปิดเผย ตรงไปตรงมา
การทำงานที่ดีต้องยึดหลักประจำใจ คือ ไม่หน้าไหว้หลังหลอก หรือทำตัวมีลับลมคมใน การทำงานแบบโปร่งใส ตรงไปตรงมาจึงเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งที่ทำให้เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจของใครต่อใคร
Fondly = ทำงานด้วยใจรัก และอยู่กับเพื่อนร่วมงานด้วยความรัก
ความรู้สึกแบบนี้ถ้ามีต่องานจะทำให้ทำงานแบบอยากทำ ไม่ใช่ต้องทำ เป็นการทำงานด้วยความรัก เช่น รักงานขาย ทำให้ชอบการออกไปพบปะผู้คนเพื่อบริการลูกค้าเก่า และแสวงหาลูกค้าใหม่ด้วยเทคนิคใหม่ ๆ แล้วพยายามมุ่งมั่นให้ได้ยอดตามเป้าหมาย หรือหากรักงานวิจัยก็อยากวิจัยสิ่งใหม่ ๆ เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นต้น การทำงานด้วยความรักและมีความรักต่อเพื่อนร่วมงาน จึงทำงานอย่างเป็นสุข และมีประสิทธิภาพ
Forgiving = ให้อภัย
การให้อภัยมีแต่ทำให้จิตใจไม่ขุ่นมัว เนื่องจากหน่วยงานแต่ละแห่งอาจมีทั้งคนถูกใจหรือไม่ถูกใจ มีคนชอบหรือไม่ชอบบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเราเอาแต่น้อยใจ เสียใจ หรือคุมแค้น คนที่ขาดทุนที่สุดคือเรานั่นเอง ซึ่งจะบั่นทอนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การให้อภัยจึงเป็นยาสมานใจให้เราเป็นสุขขึ้น
Flexible = ยืดหยุ่นผ่อนปรน
แม้งานจะต้องมีกฎเกณฑ์ที่จะต้องปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเวลา สถานที่ เงินทอง เป็นต้น แต่บางครั้งการเข้มงวดเกินไปอาจทำให้เพื่อนร่วมงานไม่พอใจ ด้วยเหตุนี้ การคิดได้คิดถูก คิดด้วยปัญญาจึงช่วยให้ผ่อนปรนกันได้ หากไม่ทำให้องค์กรเสียหาย เช่น อาจส่งใบเบิกเงินเข้าไปเกินเวลากำหนดบ้าง ก็ไม่ควรยึดกฎเกณฑ์แบบเคร่งครัดเกินไป จนทำให้ขาดมิตรได้
Foster = ส่งเสริม
การมีใจต่อกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จะช่วยให้เพื่อนร่วมงาน นาย ลูกน้องดีขึ้นได้ก็น่าจะทำไป นี่คือการลงทุน สร้างมิตร และได้เพื่อนร่วมงานที่มองเราในแง่ดี การส่งเสริมนี้อาจทำด้วยคำพูด วาจา ท่าทาง และการช่วยด้านการทำงาน โดยเฉพาะนายควรส่งเสริมลูกน้อง และลูกน้องควรส่งเสริมนาย ด้วยการพูดถึงนายในแง่ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
Fact = ข้อเท็จจริง
งานจะดีมีประสิทธิภาพ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของข้อมูล เป็นการรู้ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ เพ่อให้งานมีความผิดพลาดน้อยที่สุด ข้อเท็จจริงนี้ขึ้นอยู่กับการรับรู้ข่าวสารใหม่ ๆ เพื่อกลั่นกรองสิ่งที่ดีที่สุดแก่องค์กร ดังนั้น หัวหน้างานจึงควรคิดเสมอว่าต้องได้ข้อเท็จจริงของข้อมูลมาวิเคราะห์สถานการณ์ โดยเฉพาะความสามารถของลูกน้องแต่ละคนในด้านต่าง ๆ ต้องระมัดระวังในการมอบหมายงานตามข้อเท็จจริง เพื่อผลประโยชน์สูงสุดขององค์กร
Forward = ไม่ย่ำเท้าอยู่กับที่
ทำงานต้องกระตือรือร้นที่จะก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่ทำงานแบบอยู่ไปวัน ๆ เพราะเรื่องของวันนี้อาจใช้ไม่ได้ในวันพรุ่งนี้วันนี้จึงต้องดีกว่าวันวาน การทำงานให้ก้าวหน้าจึงเป็นเรื่องที่ต้องใฝ่รู้ รู้รอบ รอบคอบ รับผิดชอบ มีแผนระยะสั้น และระยะยาวในการทำงานให้ดีกว่าเดิม
Firm = มั่นคง
ต้องมั่นคงด้วยความรู้ ความคิด ความมุ่งมั่น องค์กรใดมีความมั่นคง มีศักยภาพ จะทำให้ผู้บริหารจนถึงพนักงานเกิดความวางใจที่จะทุ่มใจทุ่มกายทำงานต่อไป ส่วนองค์กรที่ไม่มั่นคงขาดเสถีรยรภาพ พนักงานจะหมดกำลังใจ
Foresee = เห็นการณ์ไกล
เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าควรทำธุรกิจหรือปรับปรุงการงานในด้านใด โดยไม่ละเลยสิ่งใหม่ ๆ ที่อาจทำให้ธุรกิจหรือการงานเสื่อมถอย หรือล้าหลัง เช่น ประเทศไทยจะเน้นแต่สินค้าดั้งเดิมอย่างเดียวไม่ได้ ต้องปรับเปลี่ยนสินค้าและบริการตามโลกาภิวัฒน์ เพื่อขยายตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ หรือข้าราชการบางแห่งต้องลดจำนวนลง เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณและใช้คนอย่างมีคุณค่าหรือสินค้าและบริการต้องพัฒนาให้ทันกับ Nano Technology ที่ในอนาคตทุกอย่างจะเล็กลง แต่ประสิทธิภาพสูง
Fit = ความเหมาะสม
ความเหมาะสมเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการทำงาน เป็นความเหมาะสมในด้านการแต่งกาย วาจา ท่าทางและการทำงาน ยิ่งไปกว่านั้น ในการทำงานจะต้องปฏิบัติต่อทุกระดับอย่างเหมาะสมตามตำแหน่งของแต่ละคน โดยไม่ยกตนข่มท่าน หรือทำตัวเหนือกว่าใคร หรือก้าวก่ายการงานของผู้อื่น ขณะเดียวกัน ไม่ควรทำตัวต่ำต้อยจนกลายเป็นคนหมดความหมาย
Forceful = มีพลัง
พลังของแต่ละคนย่อมจะต่างกัน บางคนมีพลังในการทำงานสูงไม่พอ ยังสามารถโน้มน้าวจิตใจให้คนทำงานด้วยอย่างเต็มอกเต็มใจ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนหนึ่งที่มีพลังในด้านความคิดสร้างสรรค์และวิสัยทัศน์การทำงานสูง คำพูดของนายกรัฐมนตรีก็มีพลังทำให้ฟังแล้วน่าเชื่อถือ อาทิเช่น ไก่ประเทศไทยไม่ใช่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ปลอดภัยล้านเปอร์เซ็นต์ โดยมีน้ำเสียงที่ดูน่าเชื่อถือ ถ้าหัวหน้าองค์กรใดก็ตาม มีพลังในการทำงานอย่างดี องค์กรคงก้าวหน้าได้ไม่ยาก
Facilitating = ทำให้สะดวกราบรื่นขึ้น
องค์กรที่มีบรรยากาศการทำงานที่เป็นไปอย่างสะดวกสบายย่อมจะทำให้พนักงานอยากทำงานได้อย่างราบรื่นหรือมีประสิทธิภาพ แต่ในหลายแห่งมีปัญหาที่ทำให้ยุ่งยากขึ้น เช่น คุณเนื้อทองเล่าว่าในหน่วยงานของเธอ พอเปลี่ยนหัวหน้าใหม่ก็มีการวางระเบียบขั้นตอนการทำงานยุ่งยากกว่าเดิม เวลาขออนุมัติอะไร หัวหน้าจะดูว่าเป็นพวกของเขาหรือไม่ หากต่างพวกจะดึงเรื่องหรือกลั่นแกล้งทำให้คุณเนื้อทองหมดกำลังใจ งานจะง่ายหรือยากจึงขึ้นอยู่กับหัวหน้าที่จะสร้างบรรยากาศการทำงานให้สะดวกมากน้อยแค่ไหน
Functional = ทำได้จริง มีประโยชน์
กิจการทุกอย่างต้องเกิดประโยชน์จริง เป็นไปได้จริง สามารถทำให้เกิดผลงานและได้ผล รวมทั้งต้องให้ทุกคนมีหน้าที่ความรับผิดชอบเป็นจิตสำนึกที่ทุกคนควรมี การกำหนดสิทธิหน้าที่ของแต่ละคนเป็นส่วนสำคัญในการทำงาน หากทุกคนทำงานอย่างเหมาะสมตามหน้าที่ของตน ก็ไม่เป็นการยากที่องค์กรจะเจริญขึ้น
Feasible = เป็นไปได้
เป็นเรื่องที่ทั้งนายหรือลูกน้องช่วยกันทำให้งานหรือโครงการเป็นจริง ทุกคนจึงต้องช่วยกันทำ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่หรือไม่ใช่หน้าที่ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือการกระทำ เป็นน้ำใจที่ทำเพื่อองค์กรให้ได้ผลดีที่สุด เช่น คุณพัตรเป็นหัวหน้าที่คิดเสมอว่า งานราชการค่อนข้างจะมีขั้นตอนมากจนล่าช้า เธอจึงวางระบบใหม่เพื่องานที่เสียเวลามากจะได้รวดเร็วขึ้น โดยพยายามหาจุดที่เป็นอุปสรรคและพยายามแก้ไข เธอเชื่อว่าระบบราชการทำงานมีประสิทธิภาพเหมือนเอกชนได้ ถ้าหัวหน้ารู้จักปรับปรุง ลูกน้องรู้จักคิดใหม่ ทำใหม่ และทำให้ได้ ไม่ใช่ทำแบบเช้าชามเย็นชาม จนประชาชนรำคาญ เป็นต้น
Fast = รวดเร็ว
เป็นความรวดเร็วเพื่องานจะได้ไม่ล่าช้าเกินกว่าเหตุ ผู้บริหารจึงต้องดูว่าขั้นตอนทำงานใดมีอุปสรรคและทำให้งานเสียหาย หรือไม่ได้ดีเท่าที่ควร ก็ต้องขจัดให้หมดไป ไม่ว่าจะเป็นการปรับรูปแบบการทำงานหรือการปรับปรุงพนักงาน รวมทั้งไม่ลืมว่าการทำงานอย่างรวดเร็ว ต้องมีคุณภาพ โดยไม่ทำงานแบบหละหลวม
จนผลของงานออกมาไม่ดี การทำงานอย่างรวดเร็วต้องเข้าใจเป้าหมายวิธีการ และระยะเวลาที่จำเป็นต้องทำงานให้เสร็จ
Fight = มีกำลังใจ ไม่ย่อท้อ
กำลังใจที่สำคัญที่สุด คือสู้กับใจของตัวเอง ที่จะทำงานโดยไม่ย่อท้อ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคขวางหน้าแค่ไหน มีนักธุรกิจไม่น้อยที่แม้ธุรกิจจะล้มเหลวก็ลุกขึ้นมาสู้จนประสบความสำเร็จโดยเฉพาะคนเป็นหัวหน้าต้องไม่ย่อท้อ ลูกน้องจะได้มีกำลังใจที่จะฝ่าฟันทุกอย่างที่ขาวงหน้า เพื่องานจะได้สำเร็จตามตั้งใจ
Fair = ยุติธรรม
ถ้าทำงานแล้วได้รับเความเป็นธรรม ไม่ว่าในด้านเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง หรือด้านใดก็ตาม ทุกคนจะทุ่มใจทำงานให้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยเฉพาะหัวหน้าที่มีไมตรีจิต เพราะแสดงว่าหัวหน้าหรือองค์กรนั้น ยึดความเป็นธรรมเป็นหลัก ไม่ใช่พวกเป็นหลัก
Focus = จุดเน้น
จะทำงานให้มีประสิทธิภาพจะต้องรู้ว่ามีจุดเน้นและจุดร่วมในเรื่องใด ส่วนมากเป็นการเน้นการทำงานตามเป้าหมายขององค์กร เช่น ร้านอาหาร ภัตตาคาร ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น เน้นบริการให้ลูกค้าประทับใจ และลูกค้าต้องเป็นใหญ่ หากพนักงานทุกคนเข้าใจตรงกัน งานย่อมจะไปได้ดีตามที่ต้องการ
Follow = ติดตาม
การทำงานจะต้องมีการติดตามงานเป็นระยะ เพื่อดูความก้าวหน้าของงาน แต่ไม่ควรติดตามงานถี่เกินไป เพราะจะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความเครียดได้ ขณะเดียวกัน ไม่ควรปล่อยปละละเลยโดยไม่ติดตามงาน งานอาจเสียหายได้
Feedback = การป้อนกลับ
การป้อนกลับเป็นสิ่งที่ช่วยให้รู้ว่า การสื่อสารที่ออกไป ผู้ปฏิบัติงานหรือผู้รับข่าวสารเข้าใจสิ่งที่ส่งออกไปหรือไม่ เพียงใด อย่างน้อยผู้ส่งข่าวสารจะได้รู้ว่าสิ่งที่ตนอยากให้ปฏิบัตินั้นทำได้มากน้อยเพียงไร และต้องคอยแก้ไขอะไรบ้าง เพื่องานจะได้มีประสิทธิภาพ
Faith = ศรัทธา
ศรัทธาต่อความคิดหรือศรัทธาต่อการกระทำ โดยเฉพาะหากศรัทธาหัวหน้าหรือองค์กรจะทำให้ลูกน้องทำงานอย่างเต็มอกเต็มใจ อย่างไรก็ตาม ความเลื่อมใสศรัทธาจะทำงานกันง่ายขึ้น และการสร้างศรัทธาก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความดี ความสามารถ คุณธรรมเป็นหลัก
Flair = มีศิลปะ มีรสนิยม
ศิลปะการทำงานเป็นความสามารถเฉพาะตัว เป็นรสนิยมที่ลอกเลียนแบบกันได้ยาก เช่น บางคนรู้จักพูด รู้จักทำ ก็จะมีคนทำงานด้วยอย่างเต็มอกเต็มใจ ขณะที่บางคนมีแบบหรือรสนิยมการทำงานที่ไม่เข้มงวด แต่ผลงานต้องดีเช่นกัน เป็นเรื่องการใช้สติปัญญาในการมองเรื่องต่าง ๆ ที่เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ ที่อาจเสียหายหรืออาจไม่เสียหาย และหาแบบการทำงานให้ถูกต้องเหมาะสม ศิลปะการทำงานจึงขึ้นอยู่กับความรอบรู้ ใฝ่รู้ ประสบการณ์ และข้อมูลที่พอเพียง และมีการตัดสินใจ
ที่ถูกต้องเหมาะสมตามสภาวการณ์เพื่องานจะได้ก้าวหน้า
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที