สงกรานต์หยุดยาวหลายวันในปีนี้ ซึ่งก็เริ่มกันตั้งแต่วันที่ 10 เมษายนเลย จากการที่รัฐบาลประกาศให้เป็นวันหยุดของหน่วยงานราชการ (เสียดายที่ไม่ประกาศให้เอกชนหยุดด้วย) เพื่อรับมือ+จัดการกับกลุ่มม็อบเสื้อแดง ที่พร้อมยอมพลีชีพเพื่อให้ทักษิณบรรลุเป้าหมาย และสร้างความโกลาหลให้กับระบบการจราจรที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งของกรุงเทพมหานคร นับจากเมื่อวานนี้ จนถึงวันนี้
การเมืองข้างนอก มันข่างวุ่นวายเสียนี่กระไร
แต่จะว่าไป การเมืองข้างในองค์การก็ไม่ใช่ย่อยนะครับ เพราะมันก็เป็นเรื่องร้อนที่ส่งผลโดยตรงต่อความล่มสลายขององค์การได้เหมือนกัน หากเราจัดการกับมันไม่ได้ และรู้ไม่เท่าทันว่าจะรับมืออย่างไร...
เทศกาลสงกรานต์ เป็นเสมือนงานชาร์จไฟให้กับพนักงานจำนวนไม่น้อย ที่ต้องการหลบร้อนจากบรรยากาศอึมครึมตามสภาวะเศรษฐกิจขององค์การ เพื่อผ่อนคลายความร้อนทั้งใจและกายที่มันวุ่นวายเสียเหลือเกิน
มาดูเฉพาะภายในองค์การของเรา ผมคิดว่า ปัญหาใหญ่ที่เป็นเรื่องร้อนใจของคนทำงานนั้น ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่เกินกว่าเรื่อง คน vs. คน มากกว่า คน vs. องค์การ เพราะองค์การก็มีคนนี่ล่ะเป็นรูปธรรมของการดำรงอยู่
ผมเองเคยได้ยินมาว่า เวลาพนักงานลาออกไปจากองค์การ ไม่ว่าจะเพราะปัญหาเรื่อง ร้อน ใดใด เป็นเรื่องที่ people leave people, not company หรือคนหนีจากคนหรอกนะ ไม่ใช่คนหนีจากองค์การ ก็คงจะจริงนะครับ หากคิดจากแง่มุมที่ผมว่าไปนี้
เรื่องร้อน ๆ ที่นำไปสู่ความอึดอัดคับข้องใจของพนักงานในองค์การ ถ้าว่ากันไปแล้วก็มีไม่กี่เรื่องหรอกครับ และก็อีกนั่นล่ะ ตัวเชื่อม ที่บกพร่องไป ซึ่งนำไปสู่ปัญหาความปั่นป่วนหรือความคับข้องใจของคนทำงาน ที่อาจจะทำให้ขยายตัวไปได้หากไม่ได้รับการแก้ไขให้เหมาะสมก็คือ การสื่อสารระหว่างกัน ครับ
3 เรื่องร้อนขององค์การที่ผมจั่วหัวไว้นี้ เป็นทั้งประสบการณ์ และอ่านจากข้อคิดงานเขียนของหลายท่าน ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
เรื่องร้อนเรื่องแรก ความไม่ลงรอยกัน เข้ากันไม่ได้กับหัวหน้างาน
เรื่องร้อนนี้ องค์การไหนก็มีทั้งนั้นล่ะครับ ที่เข้ากันไม่ได้ของสองฝ่ายนี้ อาจจะเพราะมุมมอง ความคิด ความเห็นต่างกัน การมีประสบการณ์ที่ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มาไม่เหมือนกัน ซึ่งอาจจะทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ซึ่งก็มักพบว่า เราก็ชอบเอาเรื่องส่วนตัวมาผสมผเสกับงานซะงั้น
พอพนักงานคับข้องใจกับหัวหน้างาน ถึงที่สุดก็เข้าทำนอง ถ้าแกอยู่ ชั้นก็ไม่อยู่... อะไรจะปานนั้น
กลายเป็นว่า ที่อยู่ ๆ กันมา ก็กล้ำกลืนฝืนทน หรือยอมรับในอำนาจกัน แบบนี้อันตรายกับองค์การครับ เพราะรับรองว่า หากเกิดสภาพการณ์นี้ขึ้นไม่ว่าที่ใด ไม่เคยปรากฏว่าหน่วยงานหรือองค์การนั้นจะเจริญก้าวหน้าเลยซักแห่งครับ
ก็แล้วทำไม ไม่พูดคุยกันซะล่ะ ติดขัดข้องใจตรงไหน หากคุณเจตนาบริสุทธิ์ ไม่ยึดอคติของตัวเอง ก็คงต้องจูนความคิดเข้าหากันได้แน่...
ผมสังเกตเห็นว่า เหตุที่ทั้งหัวหน้างานและลูกน้องนั้นไม่ค่อยได้คุยกัน ก็เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างคิดแทนอีกฝ่ายหนึ่ง และคาดเด่ากันไปต่างต่างนานา ตามมุมมองของตัวเอง ซึ่งก็มักเป็นมุมมองที่ตัวเองอยากให้เป็นอยากให้เห็น เข้าทำนองเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น เช่น ฝ่ายหัวหน้างาน ก็มักจะใช้อำนาจทางการบิหารที่มี และนึกเอาเสมอว่า ลูกน้องน่าจะมองเรื่องนี้ได้นะ แหม....มันธรรมด้าธรรมดา ส่วนฝ่ายลูกน้องก็คาดเดาเอาพอกันว่า หัวหน้ารู้อยู่แล้ว นั่นก็คือ ปัญหาการสื่อสารกันที่ทำให้เกิดปัญหาร้อนใจร้อนกาย
เอาล่ะครับ อีก 2 เรื่องเรามาว่ากันในตอนต่อไป
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที