ชัชรินทร์

ผู้เขียน : ชัชรินทร์

อัพเดท: 24 ต.ค. 2006 10.40 น. บทความนี้มีผู้ชม: 16723 ครั้ง

หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า ภูกระดึง มีเส้นทางขึ้นอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งอาจจะยากลำบาก แต่ก็เต็มไปด้วยธรรมชาติที่งดงาม


บทที่ 3 : เดินเท้าขึ้นภูกระดึง

                                 
  บันทึกการเดินทางไปภูกระดึง (ฝั่งบ้านฟองใต้ ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์) 
  ระหว่างวันที่ 1-4 ธ.ค. 2548                    
                                 
  "บทที่ 3 : เดินเท้าขึ้นภูกระดึง"                      
                                 
  ตื่นนอนก่อนนาฬิกาปลุก (มือถือ) ในเช้าวันที่ 3 ธ.ค. เวลา 06.30 น. แต่ยังขี้เกียจลุกจากที่นอน ยังอยากจะซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น แต่เพราะความปวดฉี่ + ตะวันแยงตาแล้ว    
ก็เลยกลิ้งไปกลิ้งมาอีกเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าจะได้เวลาลุกขึ้นจากเตียง เพื่อไปเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวและแปรงฟัน + ล้างหน้า (แต่ไม่อาบน้ำเพราะหนาว) ใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที ก็เสร็จ    
แต่งตัวเสร็จ (เสื้อแขนยาว + กางเกงสามาส่วน) มีอาหารเช้ามาตั้งรอไว้ให้แล้ว [ข้าวเหนียว + ผักลวก + น้ำพริก + ไข่เจียว (เย็นแล้วเพราะตื่นสาย)] อ้อ ! ลืมบอกไปว่า เป็นนักท่องเที่ยว    
เพียงคนเดียวที่ไปพัก Home Stay ที่นั่น เลยเป็นที่แปลกตาแปลกใจของคนทั่วไป และชอบมาถามกันจังว่า ทำไมมาคนเดียว เบื่อมาก ไม่อยากจะตอบ ก็ต้องบอกไปว่า เพื่อนไม่ว่างมา    
กินข้าวเช้าเสร็จ ก็ลองสอบถามถึงวิธีกลับจากคุณบุญทันว่า จะกลับยังไงดี เค้าก็บอกว่า มีรถสองแถวออกจากฟองใต้ช่วง 6 โมงเช้าเท่านั้น และจะมีรถออกบางที ก็ 2-3 วันต่อครั้ง หรือ    
ไม่อย่างนั้นก็ต้องเหมารถเค้าออกไป คิดราคาประมาณ 500 - 700 บาท ตอนนั้นคิดว่า ทำยังไงดีวะ ไม่อยากจ่ายตังค์ หรือจะเดินออกไปดี 20 กิโลเอง ครึ่งวันก็คงถึง หลังจากที่คิดไปคิดมา    
และไม่อยากจะคิดแล้ว ก็เก็บของที่จำเป็นเพื่อเอาขึ้นภูกระดึง ของที่เหลือก็ฝากไว้ที่ย้านพักนั่นแหละ                
  จากนั้นก็ไปติดต่อจ่ายเงินค่า Tent ที่จะนำไปพักบริเวณภูป่าก่อ เหมารวม 300 บาท ทั้งค่า Tent + ผ้าห่ม + หมอน + ผ้ารองนอน + "ค่าลูกหาบ" แต่ติดตรงที่ค่าลูกหาบนี่แหละ    
ที่เป็นปัญหาคาใจ เนื่องจากตอนแรกที่ได้โทรฯ คุยกับคุณเสวี (นายกสมาคม ฯ) แล้วเค้าบอกว่า รวมค่าขนสัมภาระส่วนตัวขึ้นไปให้ด้วย เลยรีบซื้อน้ำขึ้นไป 2 ขวด เอายัดใส่กระเป๋าด้วย    
Bitmap
 
            ทางคุณบุญทันบอกว่า จะมีคนขึ้นไปด้วย 3-4 คน (เป็นลูกของคนในหมู่บ้านและเพื่อนลูกซึ่งมาจาก    
              พิษณุโลก) เลยให้รีบหน่อย (จริงๆ อยากเดินขึ้นคนเดียว อยากหยุดที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องรอใคร)    
                จากนั้นก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อจะขึ้นไปภูกระดึง โดยจ่ายค่าธรรมเนียมขึ้นภู 20 บาท    
              และค่าตั้ง Tent 30 บาท/คน/คืน จ่ายเสร็จรอลูกหาบมาแบกของให้ คนกลุ่มนั้นหน้างอมากเลย     
              และคงขี้เกียจรอ เลยเดินขึ้นไปก่อน (ดีใจมากที่ไม่รอ เพราะไม่อยากเดินกับคนไม่รู้จักและคุ้นเคย)    
              แล้วก็นั่งรอลูกหาบอยู่ซักพักก็ไม่เห็น เลยเดินกลับไปถามหัวหน้าลูกหาบว่า ทำไมไม่มาขนของให้    
              เค้าก็เลยบอกว่า ค่าลูกหาบ รวมเฉพาะการขน Tent และเครื่องนอนเท่านั้น ถ้าจะขนของ ก็ต้องจ้าง    
              ต่างหาก คิดกิโลกรัมละ 10 บาท ก็เลยลองเอาของไปชั่งดู ปรากฏว่า หนักเกือบ 6 กก. เลยเอาของ    
              บางอย่างมาใส่เป้สะพายหลังเพื่อให้เหลือ 5 กก. (งก) แต่หัวหน้าลูกหาบบอกว่า ในการให้ลูกหาบ    
              ขนของขึ้นไปด้วยระยะทางเกือบ 5 กิโลเมตรนั้น ด้วยของแค่นี้ มันไม่คุ้มค่านัก ควรจ้างให้เค้าพา    
              นำเที่ยวด้วยคิดเหมารวม 200 บาท ตอนนั้นโมโหมาก แต่เก็บไว้ในใจ และยิ้มออกไปอย่างเย็นชา    
              พร้อมกับพูดออกไปว่า งั้นจะถือขึ้นไปเองแล้วกัน เพราะคิดว่า อยากจะเดินเที่ยวเอง (มีแผนที่อยู่    
              กับตัว ไม่กลัวหลงอยู่แล้ว) แล้วก็แบกของ 6 กก. ด้วยมือขวา และสะพายเป้อีกประมาณ 2 กก.     
              ด้วยไหล่ทั้งสองข้างเดินขึ้นเขาโดยลำพัง            
                ทางที่จะขึ้นไปตอนแรก มันจะเป็นทางลัด ต้องเดินผ่านป่าและลำน้ำตื้นๆ ไปก่อน แล้วถึง  
              จะเจอทางเดินที่เป็นเส้นทางที่เห็นอย่างชัดเจน ก็ถามทางเจ้าหน้าที่เรียบร้อยก็พร้อมออกเดินทาง    
              ในช่วง 10-15 นาทีแรกนั้น สบายมาก แม้ว่าจะเดินขึ้นเขาสูงชันเพียงใดก็ไม่หวั่น และใส่เสื้อกันหนาว  
              พร้อมรับลมหนาวที่พัดผ่านใบหน้าและร่างกาย แต่หลังจากนั้น เหงื่อออกเยอะมาก ประกอบกับของที่ถือ  
มันก็เริ่มรู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆ และเหงื่ออกเยอะมาก แม้ว่าจะมีการสลับมือในการถือของแล้วก็ตามที ในที่สุด ทนไม่ไหวก็ถอดเสื้อหนาวมาพันรอบเอว และถลกแขนเสื้อแขนยาวขึ้นมาเป็นแขนสั้น   
Bitmap
พร้อมทั้งดื่มน้ำ 2 อึก แล้วเอาหูฟังใส่หู เพื่อให้มีเพลงเป็นแรงใจในการเดินขึ้นภู จนในที่สุดก็ตามกลุ่มคนที่เดินนำขึ้นมาก่อนได้ทัน ณ จุดที่เรียกว่า "ผาออนซอน"
                               
          เมื่อเดินไล่ทันแล้ว ไม่รู้จะทำไงดี เพราะไม่อยากเดินไปกับกลุ่มนั้น ก็เลยทำฟอร์มถ่ายรูปชมวิว ประจวบกับกลุ่มนั้นก็ถ่ายรูปและ  
        นั่งพัก ก็เลยรีบเดินแซงหน้าขึ้นไปเลย แม้ว่า จะเหนื่อยแค่ไหนก็ตามที เดินไปได้ห่างพอสมควร ก็ขอพักหอบและนั่งลงที่ก้อนหินข้างทางสักครู่  
        พร้อมทั้งทายากันยุง (กย. 15) ที่ได้เตรียมมา เพราะระหว่างทางยุงเยอะมาก เหมือนจะโดนกัดไปสัก 1-2 จุด และกินส้มเขียวหวานแก้เหนื่อย  
        ไปครึ่งลูก (ช่วยได้มาก) จากนั้นก็เดินต่อไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุด หายเหนื่อยก็เดิน พอเหนื่อยมากๆ ก็ตะโกน (เบาๆ) ออกมาว่า "เหนื่อยโว้ย ๆ"  
        ไม่น่าเชื่อว่า จะคลายความเหนื่อยเหน็ดไปได้บ้าง ตะโกนไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ตัวว่า เดินมาจะถึงที่ตั้ง Tent แล้ว ที่ "ภูป่าก่อ" (เกือบ 5 กิโล)    
        Bitmap
 
          พอถึงแล้ว โคตรดีใจเลย รีบเอาของไปวาง แล้วไปนั่งคุยกับ    
                  เจ้าหน้าที่ประจำจุด 2 คน ถามเกี่ยวกับการเดินเที่ยวที่ภูกระดึง เค้าก็แนะนำว่า   
                  ควรจะเดินตามผาต่างๆ ก่อน แล้วค่อยเดินกลับมาที่ผาหล่มสัก เพื่อดูพระอาทิตย์  
                  ตกดิน นั่งพักอยู่สักครู่ ลูกหาบก็ยังไม่มาตั้ง Tent ให้ เลยฝากสัมภาระไว้กับเค้า  
                  โดยต้องนำของมีค่าติดตัวไปด้วย และอย่าลืมไฟฉาย เผื่อตอนเดินลงเขาช่วง  
                  ตอนเย็นด้วย เพราะทางค่อนข้างมืด และอาจจะเจอสัตว์ที่หากินตอนกลางคืน  
                    จากนั้นก็เดินขึ้นผาหล่มสักอีกประมาณ 1 กม. ทางก็ชันพอสมควร  
                  แต่ไม่นานก็ถึง คนก็ยังไม่เยอะมาก เลยถ่ายรูปไว้ก่อนที่จะเดินไปตามผาต่างๆ   
                  ตามแผนที่ที่ได้มา เริ่มจากผาหล่มสักไปผาแดง (2.5 กม.) จากนั้นไปผาเหยียบเมฆ   
Bitmap Bitmap Bitmap Bitmap Bitmap
ผ่านหน้าผาต่าง ๆ
Center Center
Bitmap Bitmap
สระแก้ว
Center Center
ทางเดินเข้าป่า
Center Center
 
                (1.5 กม.) จากนั้น ก็นั่งกินอาหารเที่ยง (ขนมปังที่ได้มาจากรถทัวร์ + นม + ส้ม)   
                  นั่งบริเวณหน้าผา มีสายลม แสงแดด ต้นไม้ เสียงนก และเสียงเพลงจาก CD เป็นเพื่อน  
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
  ถึงจุดนี้ ปวดขามากๆ เลยกินยาคลายกล้ามเนื้อไป 1 เม็ด แล้วก็ออกเดินทางต่อไปผานาน้อย (2 กม.)              
เดินมาถึงตรงนี้ คนเริ่มเยอะขึ้น เบื่อคนเยอะ เลยตัดสินใจเดินเข้าป่าบ้าง เอาแผนที่ออกมากาง ตัดสินใจได้                 
อยากเห็น "สระแก้ว" ไปดูผิดหวังมาก เพราะเป็นหนองน้ำธรรมดา โดยให้โยนเหรียญและอธิษฐานขอพร                 
(ไป-กลับเกือบ 4 โล)                              
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
  จากนั้นก็ตะลุยไปสระอโนดาต (2 กม.)                        
ระหว่างทางก็เจอกลุ่มคนหลายกลุ่ม เค้าคงจะคิดว่า                        
บ้าหรือเปล่ามาคนเดียว แต่ก็ไม่สนใจหรอก เพราะ                        
หูฟังยังติดอยู่ในหู ไม่รับรู้และฟังเสียงรอบข้าง                          
ยกเว้นตอนจะถามทางเค้า หรือเค้าถามเราบ้าง                          
ก็ตอบไปถูกบ้าง มั่วบ้าง เช่น เค้าถามว่าอีกไกลมั้ย                        
ใครจะไปรู้ฟะ ก็บอกว่า กิโลกว่า ๆ (มั้ง) แต่ละคน                          
ก็ทำท่าหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตมากๆ ส่วนตัวเรานั้น ก็ยังคงย่ำเท้าเดินต่อไป แม้ว่าจะเหนื่อยล้าและเมื่อยขาสักเท่าใด              
  เอาแผนที่มากางอีกที อยากไปดู "น้ำตกสอเหนือ" ว่า จะสวยสักเท่าใด เดินไปอีก 1.5 กม. ไปดูก็ค่อนข้างผิดหวังเพราะน้ำน้อยมากๆ แถมยังไม่มีโขดหินให้กระโดดเล่น (จริงๆ ก็คงโดดไม่ไหวแล้ว
เพราะรู้สึกขาซ้ายมันจะเดี้ยง เพราะแทบจะยกขาไม่ขึ้นแล้ว ตอนหลังเลยต้องหากิ่งไม้มาทำเป็นไม้เท้า)                
Bitmap
สระอโนดาต
Center Center
Bitmap Bitmap
น้ำตกสอเหนือ
Center Center
 
                               
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
                                 
  จากน้ำตกสอเหนือก็ไม่มีที่จะไปแล้ว (ขาก็คงไม่ไหวด้วยล่ะ) นอกจากกลับไปดูพระอาทิตย์ตกที่ "ผาหล่มสัก" ก็เดินไปอีกเกือบ 3 กม. ระหว่างที่เดินก็ร้องเพลงไปด้วยตามเพลงที่ฟังผ่านรูหู  
แต่ต้องมองซ้าย-ขวา-หน้า-หลังก่อนนะว่าไม่มีคนอยู่บริเวณนั้น เพราะไม่อยากให้ใครได้ฟังเสียงอันไพเราะ พอใกล้จะถึงหน้าผา ก็ไปเจอคนแบบเดียวกับเรา คือมาคนเดียว เป็นรุ่นน้องอยู่ ม.6 จ. อุดรฯ  
น้องเค้าอยากมาผจญภัยเอง พ่อแม่มาส่งที่ตีนภู มีงบมา 500 บาท อาจจะต้องอดข้าวกลางวัน (น่าสงสารมาก) กะจะเลี้บงข้าวเย็นน้องเค้า แต่เค้าเกรงใจก็เลยไม่ต้องเสียตังค์สงเคราะห์อาหารเย็นเด็กผู้ยากไร้
  มาถึงบริเวณผาหล่มสัก คนเยอะมาก ไม่รู้มาจากไหนกัน (ตอบ "มาจากฝั่งทางจ.เลย") ท้องก็เริ่มร้องโครกครากแล้ว ก็เลยไปแวะหาร้านอาหารแถวนั้นรับประทานอาหารเย็นอันสุดแพง (65 บาท)
คือ ข้าวกะเพราหมูกรอบ + น้ำเปล่า (ขวดขุ่น) กินเสร็จก็ไปเดินดูและเก็บภาพตามธรรมเนียม และพอดีเจอเจ้าหน้าที่ที่จะไปตั้ง Tent พี่เค้าก็เลยชวนกลับ เพราะถ้ามืดเกินไปจะอันตราย (สัตว์ป่า  
หากินตอนกลางคืน) ดังนั้น จึงต้องรีบลงไป พร้อมกับคนอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ก็แอบหนีลงไปก่อน อากาศตอนกลางคืนของที่นี่เย็นมาก ตอนแรกก็ใส่เสื้อกันหนาว แต่ตอนวิ่งลงเขาแบบกะเผลกเล็กน้อย  
เหงื่อมันก็เริ่มออกอีกแล้ว ต้องเอาเสื้อมาพันเอวไว้อย่างเดิม พร้อมกับเอาไฟฉายขึ้นมาส่องทางอันมืดมิด และเหงียบเหงา ยินเพียงเสียงนก และแมลงเป็นเพื่อน (ขี้เกียจฟังเพลงแล้ว เพราะเบื่อเพลงเดิม)
Bitmap
"ผาหล่มสัก" ยามตะวันรอน
Center Center
 
              ลงมาถึงที่พักด้วยความปลอดภัยในเวลา 6 โมงกว่า พร้อมกับขาอันเมื่อยล้า ความมืดเข้าปกคลุมโดยรอบ 
              ไร้ซึ่งแสงตะวันส่องทาง มีเพียงแสงจากไฟฉาย และดวงดาวที่รายรอบบริเวณเท่านั้น (ไม่มีไฟฟ้า) มาถึงก็รีบหา Tent ที่
              จะนอนโดยดูจากกระเป๋าที่วางอยู่ภายใน (เปิดดูทีละ Tent) เจอแล้ว นั่นไง ที่ซุกหัวนอนของเรา เก็บของเสร็จ คุยกับคน
              แถวนั้น เค้าถามว่า มายังไง (ก็บอกไปตามที่เคยได้เล่าให้ฟังไปแล้ว) เค้าก็เลยถามว่า จะกลับยังไง ตอบไปว่า ยังไม่รู้เลย
              เค้าก็เลยเสนอว่า กลับด้วยกันก็ได้ เอารถกระบะมา (พาลูกๆ มาเที่ยว) ตอนแรกนึกว่า 2 คน รู้ทีหลังว่า ลูกและเพื่อนๆ
              ของลูกรวมกัน 10 กว่าคน ตอนนั้น อารมณ์ประมาณว่า โคตรดีใจมาก ที่ไม่ต้องเหมารถกลับ (เจอคนใจดีอีกแล้ว)  
              ก็เลยฝากตัวกับเค้าไว้เลย เค้าก็ชมว่า เก่งที่กล้ามาคนเดียว นอนคนเดียว         
                คุยเสร็จ ก็เตรียมตัวอาบน้ำ เพราะเน่ามาทั้งวันและยังไม่ได้อาบน้ำเลยตั้งแต่เช้า เตรียมตัวเสร็จก็รีบหยิบ
              ไฟฉายส่องทางไปห้องน้ำ อยู่ไกลจากที่พักประมาณ 100-200 เมตร (ไม่ถนัดเรื่องกะระยะทาง) น้ำที่นี่ก็โคตรเย็นมากๆ
              แต่ก็ทนได้ รีบๆ อาบให้เสร็จๆ แต่งตัวแล้วก็เดินเข้า Tent กินยาคลายกล้ามเนื้อ + ทายาแก้เมื่อยที่แขน ไหล่ และขา
              และออกไปยืนดูดาวสักพัก ดาวสวยมาก อาจจะเพราะความมืดที่ปกคลุมอยู่ ทำให้มองเห็นดาวได้ชัดเจน แต่ยืนอยู่สักพัก
              ก็เริ่มหนาว เลยรีบเข้าไปอยู่ใน Tent ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า ข้างในอุ่นมากๆ แทบไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวเลย เอาหูฟังเสียบหู
              อีกครั้ง เพราะรำคาญเสียงพูดคุย และร้องเพลงจากบุคคลภายนอก Tent         
                ก่อนจะหลับตา นึกขึ้นมาได้ว่า อยากรู้ว่า วันนี้เราเดินเล่นไป เป็นระยะทางรวมเท่าไหร่นะ เลยลองบวกเลขดู 
              แทบช็อค เดินไปเกือบ 25 กิโล คิดได้ดังนั้น ก็รีบปิดไฟฉายที่เปิดอยู่เพื่อให้ความมืดเข้าปกคลุมอีกครั้ง ห่มผ้าห่มที่ได้มา
              ปิดเพลงที่เสียบอยู่ที่รูหู พร้อมทั้งหลับตาลงนอนด้วยความเหนื่อยล้าในเวลา 2 ทุ่มกว่า (อีกแล้วครับท่าน)  
                                 
                                 
                                 
                                 
      จบบทที่ 3    

บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที