เสียงไก่ขันเริ่มดังระงมไปทั่ว เป็นสัญญาณปลุกทุกชีวิตในหมู่บ้านน้อยๆ กลางดอยให้ตื่นจากหลับใหล หมอกที่เกิดจากกรรมวิธีทางธรรมชาติในยามเช้าบนเขตพื้นที่สูงอย่างภูเขาในแถบบ้านผม ลอยหยอกล้อต่อกระซิบกับสายลมโชยเอื่อย ทำให้ขนแขนแสตนอัพทุกครั้งที่ได้สัมผัส เพราะหมู่บ้านของเราอยู่บนพื้นที่สูง ทุกเช้าเราจึงได้เปรียบกว่าตรงที่อากาศที่เราได้รับบริสุทธิ์และสดชื่นกว่าการอาศัยแค่ความสดชื่นจากน้ำยาปรับอากาศ เราอยู่กับผืนป่าที่รายล้อมและอ้อมกอดแห่งขุนเขา คำกล่าวที่ว่า ฟ้าเป็นของนก ภูเขาเป็นของม้ง นั่นดูจะไม่ผิดมากนัก
เหล่าแม่บ้านต่างเริ่มวุ่นวายในการหุงหาอาหารสำหรับทุกชีวิตในครอบครัว ยามนี้หากมองไปยังทุกบ้านจะสังเกตุเห็นควันไฟลอยฟุ้งจากทุกบ้านแสดงถึงชีวิตกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้วสำหรับวันใหม่แล้ว เสียงตะลิ๋วกระทบกับกะทะเริ่มดังขึ้น เป็นเสียงดนตรียามเช้า ปลุกให้กรดในกระเพาะตื่นเตรียมทำหน้าที่ในการย่อยอาหารในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้ไป
"เส๋อ ม่า เหลง" เสียงแม่เริ่มดัง
ชื่อที่แม่เรียกคือชื่อผมนั่นเอง ผมรีบเดินออกมาจากที่นอน ผ่านกลางบ้านไปยังประตูทันที ด้วยอาการที่งัวเงีย ข้างนอกพ่อกำลังนั่งลับมีดถางหญ้าและจอบเพื่อใช้งานสำหรับวันนี้ ดูท่านยังแข็งแรงเหมือนราวกับสิงห์โตวัยหนุ่ม เพราะทุกครั้งที่ผ่านมา ท่านทั้งแบกหามสัมภาระหนักตั้ง 40-50 กิโลกรัม แม้วัยจะย่างเข้า 50 แล้วก้อตาม
อีกด้านหนึ่งของบ้าน พี่สาวกำลังหั่นหยวกกล้วยเพื่อผสมกับเศษอาหารที่เหลือจากเมื่อวาน เพื่อให้กับหมูที่เราเลี้ยง ในคอกห่างจากตัวบ้านไปด้านหลังสัก300 เมตรเห็นจะได้ ครอบครัวมีหมูอยู่ 2 ตัว ตัวหนึ่งเลี้ยงไว้เพื่อใช้ในงานเลี้ยงช่วงเทศกาลปีใหม่และอีกตัวเป็นของพี่สาวที่เลี้ยงไว้เพื่อใช้ในงานแต่งงานของตัวเอง หญิงสาวชาวม้ง จะเลี้ยงหมูไว้เมื่อตัวเองย่างเข้าสู่วัยครองเรือนเพื่อใช้ในงานพิธีแต่งงาน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พี่สาวผมเอาใจใส่และเลี้ยงดูหมูของเธอให้อ้วนท้วนสมบูรณ์
ผมเดินออกห่างจากบ้านเพียงไม่กี่ก้าวแล้วมองออกไปตามทางดินที่ผ่านกลางหมู่บ้าน เด็กๆกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน บางคนกำลังวิ่งไล่จับกัน พี่ที่โตหน่อยก็อุ้มน้องตัวเล็กๆ ไว้ข้างกาย แต่สิ่งที่เด็กทุกคนเหมือนกันคือ แก้มที่แดงระรื่อเพราะอากาศที่หนาวเย็นนั้น ต่างมีคราบเป็นทาง เพราะเด็กๆ ชอบที่จะเช็ดน้ำหมูกโดยการป้ายไปทางขวาที ซ้ายที นั่นแหละ แม้แต่ตอนนี้หากได้นึกถึงแล้วก็ทำให้อดที่จะขำและเผลอยิ้มที่มุมปากไม่ได้
"เนาะ หมอ" เสียงแม่ดังขึ้นอีกครั้ง
วันนี้แม่ทำอาหารจานโปรดผมอีกแล้ว นั่นคือ ผัดผักขม เพราะแทบทุกมื้อเราจะไม่ขาดผักขมเลย มันเลยกลายเป็นอาหารประเภท ฟาสฟุ๊ด ของเราไปโดยปริยาย เพราะผักขมสามารถหาได้ง่าย ตามท้องไร่ท้องนา ส่วนเนื้อนั่นไม่ต้องพูดถึงกว่าจะได้กินแต่ละครั้งต้องเป็นในช่วงเทศกาลเท่านั้นหรือบางบ้านที่พอมีฐานะหน่อยเขาจะได้กินแต่ชาวเขาอย่างเราคงไม่บ่อยนัก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ผักขม จะเป็นอาหารหลักของเรา เหมือน สมัยเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เพรชบูรณ์ ที่กินฝักทองเป็นอาหารหลัก เลยมีเพลงให้ร้องอย่างสนุกสนานว่า
"
ศึกษาสงเคราะห์แข็งแกร่ง
กิน ฟัก แฝง ทั้งกาก
กินผักบุ้งทั้งราก
สาวๆ ไม่อยากแลมอง
ฝักทองคืออาหารหลัก
ผัดผักคืออาหารรอง
จู่ก็หน่อไม้ดอง
รองๆ ก็มะเขือยาว
"
เมื่อเสร็จจากอาหารเช้าทุกคนต่างเตรียมตัว เพื่อเดินทางไปทำงานที่ยังค้างอยู่ วัยนี้เราจะไปถางหญ้าในไร่ข้าวโพดกัน เมื่อพ่อและแม่เตรียมสัมภาระเสร็จ เรา 4 คน เริ่มเดินออกจะบ้านไปตามทางที่ผ่านกลางหมู่บ้าน ตอนนี้แสงตะวันเริ่มทอแสงจากขอบฟ้า ผ่านเมฆหมอกกระทบน้ำค้างตามใบไม้ใบหญ้าข้างทาง ส่องประกายระยิบระยับ ราวกับแสงจากเครื่องเพชรที่คุณหญิงคุณนายใส่อวดกันในการออกงานสังคม แต่ที่เราเห็นมันมากมายเหลือคณานับและเป็นของเราทุกคน จึงไม่มีใครสามารถอวดได้ว่านี่ของฉัน นั่นของเธอ แสงแดดอ่อนๆ เริ่มสลายความหนาวรอบข้างตัวลง กลายเป็นความอบอุ่น ธรรมชาติที่รายล้อมทำให้การเดินทางของเราไม่รู้สึกเหนื่อยอ่อนหรือล้าแต่อย่างใด แม้กว่าจะถึงไร่ข้าวโพดมันตั้ง 1 กิโลแม้วก็ตาม
------------------------------------------------------------++++++
เส๋อ ม่า = ลุกขึ้น
เนาะ หมอ = กินข้าว
1 กิโลแม้ว = เดินข้ามเขาประมาณ 3-5 ลูก หรือ ราว 5-10 กิโลเมตร
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที