“We are rich only through what we give, and poor only through what we refuse.” Ralph Waldo Emerson
29 กรกฎาคม 2552 ปีที่ 2 ฉบับที่ 28
Dr. Muhammad Yunus เป็นชาวบังคลาเทศคนแรกที่ได้รับรางวัล Nobel Peace Prize ประจำปี 2006 พร้อมกับธนาคาร Grameen Bank ธนาคารที่เขาเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งโดยเริ่มต้นจากการทดลองเอาเงินส่วนตัวให้คนจนกู้และต่อมาเมื่อปลายปี 1976 กู้เงินจากธนาคาร Janata ของรัฐ เอามาทำโครงการให้คนจนกู้เงิน โครงการประสบความสำเร็จจนถึงปี 1982 มีสมาชิกกู้เงินเพิ่มขึ้นถึง 28,000 คน สามารถจัดตั้งเป็นธนาคาร Grameen Bank ได้ถูกต้องตามกฎหมายเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1983 และธนาคารได้เติบโตมาโดยลำดับ จากตัวเลขรายงานเดือน มิถุนายน 2009 Grameen Bank ได้ปล่อยเงินกู้จำนวน US$ 8,167 พันล้านให้แก่ ผู้กู้เงินถึง 7.9 ล้านคนทั่วประเทศ มีกลุ่มสมาชิก 1.23 ล้านกลุ่ม ใน 84,487 หมู่บ้าน มีสาขาธนาคาร 2,557 สาขา ธนาคาร Grameen Bank ได้แตกตัวเป็นองค์กรธุรกิจแสวงหากำไรและมูลนิธิไม่แสวงหากำไรเพื่อช่วยเหลือประชาชนกลุ่มอาชีพต่างๆแทบทุกสาขาให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน ความรู้และเทคโนโลยี เช่น การประมง การชลประทาน การเกษตร สิ่งทอ พลังงาน ก่อสร้าง การสื่อสาร การศึกษา การพัฒนาธุรกิจ การผลิตสินค้าต่างๆ แม้กระทั่งธุรกิจโทรศัพท์ ก็มี บริษัท Grameen Telecom ขายโทรศัพท์ราคาถูกให้คนจนตามหมู่บ้านมากกว่า 353,423 เครื่องกระจายไปมากกว่า 80,000 หมู่บ้าน ช่วยทำให้คนจนสามารถสื่อสารเข้าถึงข้อมูล ช่วยเหลือคนจนให้สามารถกู้เงินไปสร้างบ้านได้แล้ว 673,573 หลัง รวมทั้งให้ทุนการศึกษาทำให้คนจนหลายล้านคนมีโอกาสและมีชีวิตที่ดีขึ้น
Dr. Yunus เรียนจบปริญญาตรีและโทในประเทศและได้รับทุนFulbrightไปศึกษาปริญญาเอกที่ Vanderbilt University สหรัฐอเมริกา ในปี 1971 ในช่วงที่ประเทศบังคลาเทศมีสงครามเอกราช เขาสอนหนังสือที่สหรัฐอเมริกาและร่วมกับชาวบังคลาเทศในสหรัฐอเมริกาจัดตั้งศูนย์ข่าวสารและทำสื่อเพื่อสนับสนุนการต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศ หลังสงครามสงบ บังคลาเทศได้รับเอกราช เขาเดินทางกลับประเทศ และได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลให้ทำงานด้านการวางแผน แต่งานไม่คืบหน้า เขาจึงลาออกมาสอนหนังสือที่ มหาวิทยาลัย Chittagong ทำให้เขาได้เรียนรู้เรื่องความยากลำบากของคนจนในการทำมาหากินจากการทำงานวิจัยในปี 1976 เมื่อเขาออกสำรวจหมู่บ้านได้พบว่าผู้หญิงชาวบ้านที่ผลิตงานจักสานจากไม้ไผ่ขายต้องกู้ยืมเงินนอกระบบที่จ่ายดอกเบี้ยแพงมาเป็นทุนในการซื้อไม้ไผ่ เขาจึงใช้เงินส่วนตัวของเขาจำนวน USD 27 เหรียญ ให้ผู้หญิงชาวบ้านจำนวน 42 คนกู้ ซึ่งทำให้ทุกคนได้กำไรมากขึ้นเพราะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยราคาแพงจากการกู้นอกระบบ ทุกคนสามารถจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ยอัตราต่ำได้จากประสบการณ์นี้ทำให้เขารู้ว่าถ้ามีหน่วยงานที่ช่วยเหลือคนจนให้มีเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ปัญหาเกิดจากคนจนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้เนื่องจากธนาคารไม่ให้กู้เงินเพราะคนจนไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ เขามีความเชื่อว่าถ้าคนจนได้รับโอกาสมีเงินทุนในการประกอบอาชีพพวกเขาสามารถชำระคืนหนี้ได้ ดังนั้นการให้เงินกู้ในวงเงินเล็กๆที่เรียกว่าจุลเครดิต (Micro credit) แก่คนจนน่าจะเป็นแบบธุรกิจ (Business model) ที่ใช้ได้ผล เขาจึงตัดสินใจใช้เครดิตการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยไปกู้เงินธนาคารเอามาเป็นกองทุนให้กู้รายย่อย ซึ่งผู้กู้เกือบทั้งหมดเป็นหญิงแม่บ้าน โดยให้รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆแล้วทำการกู้เงินในนามกลุ่มและสมาชิกกลุ่มทุกคนค้ำประกันกันเอง โครงการที่เขาทำประสบความสำเร็จเนื่องจากผู้หญิงมีความสัตย์ซื่อและมีระเบียบวินัยในการใช้เงินมากกว่าผู้ชาย แม้ว่าในระยะแรกจะได้รับการสบประมาทจากนักการธนาคารว่าเป็นไปไม่ได้ที่ไปกู้เงินจากธนาคารแล้วมาปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำที่ได้กำไรน้อยมากและมีความเสี่ยงหนี้เสียสูง รวมทั้งมีการต่อต้านจากกลุ่มเคร่งศาสนาและกลุ่มนักการเมืองที่กล่าวหาโจมตีโครงการของเขา แต่จำนวนสมาชิกผู้กู้และวงเงินให้กู้กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดสามารถจัดตั้งเป็นธนาคาร Grameen Bank ได้ และแตกตัวเป็นธุรกิจและมูลนิธิในเครืออีกมากมาย
ความสำเร็จของ Dr. Yunus ได้กลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศยากจนทั่วโลก เป็นตัวอย่างของธนาคารหมู่บ้าน การรวมกลุ่มแม่บ้าน ทำให้ฐานะทางสังคมของสตรีได้รับการยอมรับมากขึ้นและช่วยยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของคนจนในชนบท จนพรรคการเมืองจากหลายประเทศลอกแบบเอาไปทำเป็นนโยบายประชานิยม Dr. Yunus ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติมากมายรวมทั้งรางวัล Nobel Peace ความสำเร็จของเขาจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือเพราะโชคช่วย เพราะกว่าจะมาถึงจุดแห่งความสำเร็จนี้ได้ เขาต้องใช้เวลาหลายปีในการทำงานและแก้ไขปัญหา กุญแจแห่งความสำเร็จของเขาคือ
มีคำกล่าวจากคำจารึกบนศิลาหลุมฝังศพ (Headstone) นิรนามที่สุสานแห่งหนึ่งว่า “The life we lead is the most important message we leave” การใช้ชีวิตของเราในขณะที่มีชีวิตอยู่เป็นสื่อสำคัญที่สุดที่เราทิ้งไว้หลังจากเราจากไปแล้ว น่าเสียดายที่ในโลกนี้มีผู้นำผู้บริหารหลายคนที่มีโอกาสดีกว่า Dr. Yunus เพราะมีทั้งความรู้ เงินทองและอำนาจ แต่กลับใช้สิ่งมีค่าที่เขามีอยู่ไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ทำให้พลาดโอกาสเป็นผู้นำผู้บริหารที่คนทั้งโลกจะระลึกถึง ความตั้งใจเสียสละที่ช่วยเหลือคนจนอย่างจริงใจของเขา
บทความแสดงทรรศนะอิสระของผู้เขียน ใช้แหล่งข้อมูลสาธารณะ ไม่มีเจตนาชักชวนให้ผู้อ่านเชื่อ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน หรือส่งบทความต่อ หากมีความประสงค์จะเลิกรับบทความ กรุณาแจ้งให้ทราบ ขอบคุณที่อ่านและเผยแพร่ต่อ ด้วยความปรารถนาดี... สมชัย ศิริสุจินต์ sirisujin@yahoo.com
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที