ปัญหา Sub-prime
ปัญหาซับไพร์มเกิดขึ้นตั้งแต่ ช่วงปี 50 ที่ราคาบ้านของสหรัฐขึ้นมาถึงขีดสุด และเริ่มร่วงเนื่องจากคนไม่มีเงินจ่าย คล้ายเหตุการณ์ปี 40 บ้านไทยเรา แต่หนักกว่าที่มันกระจายเป็นวงกว้างกว่าเนื่องจากสถาบันการเงินหลายแห่งถือหลักประกันที่เป็นหนี้เน่าไว้เยอะ และถือกันเป็นทอดๆ แล้วก็เจ้งกันเป็นทอดๆ
ต้นตอของปัญหาเนื่องจากคนอเมริกาใช้จ่ายเกินตัว ชอบเอาเงินอนาคตมาใช้ สถาบันการเงินปล่อยกู้จึงได้นำคิดเครื่องมือทางการเงินตัวหนึ่งขึ้นมาคือ ตราสารที่มีหนี้เกรดสอง (Collateralized debt obligation, CDO) ซึ่งเอา Sub-Prime Mortgage มาเป็นหลักประกันไว้ [Sub-Prime แปลว่า คุณภาพที่เป็นรอง เรามักใช้คำนี้ต่อขยายเช่น Sub-Prime Mortgage] การที่นำตราสารที่มีหนี้เกรดสองมาขายทำให้สถาบันการเงินเอามาปล่อยขายที่ดอกเบี้ยสูงขึ้นเพราะมีความเสี่ยงสูง ขายออกกันไปเป็นทอดๆ พอหลักประกันที่ว่าเกิดปัญหาคนไม่พอจ่าย จึงทำให้หลักประกันที่ถืออยู่เป็นเหมือนกระดาษเปล่า ไม่ม่มูลค่า ตัว CDO นี้จึงเป็นเหมือนตัวเร่งปฏิกริยาทำให้สถาบันการเงินเจ้งกันหมด
ผลลัพธ์ที่เกิด
พอพี่อเมริกาจอมฟุ่มเฟือยหมดตังค์ -> Sub-Prime Mortgage เป็นเหมือนกระดาษ -> สถาบันการเงินก็เลยเจ้ง -> สถาบันการเงินปล่อยกู้ยาก -> ส่งผลให้คนขาดความเชื่อมั่นลดการบริโภค -> ลดการผลิต ลดการส่งออก เนื่องจากผู้บริโภครายหลักไม่มีตังค์แล้ว จะผลิตไปให้ใคร ก่อนหน้านั้น อเมริกาพอหมดเงินทีเขาก็พิมพ์พันธบัตรออกขาย ครั้นจีนหรือญี่ปุ่นจะไม่ซื้อก็ไม่ได้ เพราะถ้าไม่ซื้อ แล้วอเมริกาจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อของจากจีนหรือญี่ปุ่นล่ะ
ปัญหานี้นานแค่ไหนอาจต้องคำนวณว่าปริมาณเงินที่อเมริการเอาเงินอนาคตมาใช้นั้นเป็นเท่าไหร่ จากการประมาณการจากปี1930 ปัญหาเกิดเมื่อปี 1929 และเริ่มฟื้นเมื่อ 1932 ดังนั้นคร่าวๆน่าจะ 3 ปี หรือนานกว่านั้นก็เป็นได้เพราะการซื้อขาย CDO ที่เกิดขึ้นมันซ้อนอยู่หลายชั้น
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที