อาการที่ปรากฏชัดของเด็กออทิสติกส์คือ การที่พวกเขาขาดความสามารถปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น หลีกเลี่ยงหรือมีการสบตาน้อย ขาดความเข้าใจในท่าทางและการแสดงออกทางหน้าตา การใช้คำพูดตะกุกตะกัก ประสบความยากลำบากในการรับรู้เจตนาและความรู้สึกของผู้ใกล้ชิด ท่านที่มีบุตรหลานที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติจึงน่าเห็นใจอย่างยิ่ง ในปัจจุบันนี้การตรวจอาการดังกล่าวใช้เพียงการสังเกตเชิงพฤติกรรมเท่านั้น ยังไม่มีการตรวจเลือดหรือตรวจสอบทางยีนแม้ว่าจะมีหลักฐานทางแพทย์ว่ามีส่วนสัมพันธ์กับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (ฟีโบ้) ได้ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ในการวิจัยนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาช่วยบำบัดผู้ป่วยเด็กเหล่านี้ เราได้นำหุ่นยนต์ PARO จากประเทศญี่ปุ่นพัฒนาขึ้นโดย ดร.ทากาโนริ ชิบาตะ มาเป็นเครื่องมือในการวิจัยในครั้งนี้ ซึ่งทางเนคเทคได้กำหนดรูปแบบการศึกษาในเด็กออทิสติก จำนวน 34 คนใช้เวลาในการทดลอง 10 สัปดาห์ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ช่วง ดังนี้ ช่วงที่ 1 เป็นการศึกษาแบบเดี่ยว โดยให้เด็กเล่นกับหุ่นยนต์สัตว์เลี้ยงแบบ 1 ต่อ 1 เพื่อให้เด็กได้ทำความรู้จักกับหุ่นยนต์สัตว์เลี้ยงใช้เวลาในการศึกษา 4 สัปดาห์ ช่วงที่ 2 เป็นการศึกษาแบบกลุ่ม โดยให้เด็กเล่นกับหุ่นยนต์สัตว์เลี้ยงแบบ 1 ต่อ 1 กลุ่มละ 3-5 คน เวลาในการศึกษา 4 สัปดาห์ และช่วงที่ 3 ทำการศึกษาเชิงบูรณาการโดยใช้หุ่นยนต์สัตว์เลี้ยงร่วมกิจกรรมบำบัดฟื้นฟูในชีวิตประจำวันเวลาในการศึกษา 2 สัปดาห์ ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการบันทึกภาพด้วยกล้องวงจรปิดบันทึกพฤติกรรมของเด็กระหว่างทำกิจกรรม รวมทั้งบันทึกข้อมูลพฤติกรรมของเด็กก่อนและหลังการทดลอง เพื่อนำข้อมูลมาเปรียบเทียบผลการบำบัดเด็กออทิสติกด้วยหุ่นยนต์สัตว์เลี้ยง
หุ่นยนต์เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดึงดูดและกระตุ้นความสนใจจากเด็กๆทั่วไปรวมทั้งกลุ่มเด็กออทิสติกหลายหน่วยงานวิจัยในต่างประเทศจึงริเริ่มทดลองนำหุ่นยนต์มาเป็นตัวสื่อปฏิสัมพันธ์กับเด็กที่มีอาการผิดปกติเหล่านี้ หลายคนเชื่อว่าหุ่นยนต์ของเล่นให้ความเป็นกันเองและความ อุ่นใจ ต่อเด็กๆมากกว่าผู้ใหญ่รอบข้างเสียอีก ผมเคยสังเกตเด็กป่วยที่ต้องไปหาคุณหมอบ่อยๆในวัยเด็กจะเกิดความระแวงเมื่อเห็นผู้ใหญ่เล่นด้วยและยิ้มให้ คงเป็นเพราะคุณหมอเหล่านั้นต้องหลอกล่อเล่นกับเด็กจนเพลินเสียก่อนแล้วจึงทิ่มเข็มฉีดยา เด็กบางคนถึงกลับวิ่งอ้อมไปดูด้านหลังผู้ใหญ่ที่ยืนยิ้มเอามือไพล่หลังอยู่เพราะกลัวว่าในมือจะมีเข็มฉีดยาอยู่ การเลียนแบบถือเป็นลักษณะการสื่อสารประเภทหนึ่งที่บ่งบอกถึงความสนใจและการเข้าหาผู้อื่นจนไปกึงการมีปฏิสัมพันธ์ (Nadel, 1999)
เราได้ใช้กล้องวงจรปิดจำนวน 3 ตัวสำหรับบันทึกภาพ ซึ่งกล้องจะถูกติดตั้งไว้บนเพดานภายในห้องสังเกตุพฤติกรรม ทำมุมต่อกัน 120 องศาเพื่อทำการบันทึกภาพที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำวิจัย โดยนำภาพที่ได้ไปทำการวิเคราะห์ข้อมูลอัตรา การจ้องมอง การสัมผัสวัตถุ และช่วงความสนใจของเด็กออทิสติก
โปรแกรมจับการสัมผัสและการมองของเด็กกับหุ่นยนต์เป็นโปรแกรมอย่างง่ายๆช่วยตรวจจับการสัมผัสและการมองของเด็กกับหุ่นยนต์เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ผล แต่ผลทางเทคนิคที่ออกมาไม่ดีเท่าที่ควร
ผลทดลองในเด็กออทิสติกส์จำนวน 34 คนจาก 3 โรงพยาบาลสามารถแบ่งผลการทดลองได้ดังนี้
พฤติกรรมของเด็กก่อนและหลังการทดลอง จะไม่อยู่นิ่ง(Hyperactive) ตลอดเวลาในเด็กบางคนมีภาวะหลีกหนีการสัมผัส (Tactile defensiveness) มีอัตราการจ้องมองน้อย ขาดทักษะการสื่อสาร และปฏิสัมพันธ์สังคม เช่น เด็กจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ทำร้ายตนเองและเพื่อน รวมทั้งมีการแยกตัว มีภาษาเป็นของตนเอง หลังการทดลองพบว่าเด็กมีภาวะไม่อยู่นิ่งลดลง มีการสัมผัสเพิ่มขึ้น การอัตราการจ้องมองเพิ่มขึ้น ในเด็กที่มีความสามารถสูง(High Function) พบว่า ในเด็กที่พูดได้มีการสื่อสารกับเด็กในกลุ่ม เช่น บอกเพื่อนในกลุ่มให้ทำกิจกรรม เรียกเพื่อนมาร่วมทำกิจกรรม พูดคุย กับผู้บำบัด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับกลุ่มเพิ่มขึ้น ช่วงที่ 1 ทำกิจกรรมแบบเดี๋ยว เป็นช่วงแรกของการทดลอง พบว่า เด็กให้ความสนใจเล่นกับหุ่นยนต์แมวน้ำ และเป็ด แตกต่างกันเล็กน้อยโดยให้ความสนใจหุ่นยนต์แมวน้ำมากกว่าตุ๊กตาของเล่น ซึ่งจะเห็นได้ชัดในช่วง 2-4 วันแรกของการทดลอง จะมีอัตราการสัมผัสและการจ้องมอง เพิ่มขึ้น แต่ภายหลังจาก 4 วัน เด็กเริ่มสนใจเล่นกับหุ่นยนต์แมวน้ำและตุ๊กตาของเล่นน้อยลงและคงที่ ช่วงที่ 2 ทำกิจกรรมแบบกลุ่ม เป็นช่วงที่ 2 ของการทดลอง พบว่า เด็กให้ความสนใจเล่นกับหุ่นยนต์แมวน้ำ และเป็ด แตกต่างกันเล็กน้อยโดยให้ความสนใจหุ่นยนต์แมวน้ำมากกว่าตุ๊กตาของเล่น ซึ่งจะเห็นได้ชัดในช่วง วันที่4 และ 7 ของการทดลอง จะมีอัตราการสัมผัสเพิ่มขึ้น และอัตราการจ้องมองมีค่าสูงขึ้นตั้งแต่วันแรกของการทดลองและเริ่มลดลงในวันที่ 7 จนสิ้นสุดการทดลอง ช่วงที่ 3 ทำกิจกรรมเชิงบูรณาการ เด็กจะให้ความสนใจ ทำกิจกรรม นอกจากนี้ในกลุ่มเด็กที่มีทักษะความสามารถสูง และสามารถสื่อสารได้ จะชักชวนเพื่อนเล่น และสามารถพูดคุยกับผู้บำบัดได้
ผลการศึกษาวิจัยขั้นต้นนี้ยังชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ในการบำบัดเด็กออทิสติกส์ด้วยการใช้หุ่นยนต์สัตว์เลี้ยง คุณลักษณะที่มีความจำเป็นในการพัฒนาหุ่นยนต์ที่มีความเหมาะสมกับการใช้งานในเด็กออทิสติกส์ รวมทั้งเด็กพิการด้านอื่นๆ โดยสามารถแบ่งคุณลักษณะที่จำเป็นได้ดังนี้
ความมีอัจฉริยะภาพของเด็กออทิสติกส์มีปรากฏอยู่หลายครั้งในภาพยนตร์ฮอลลีวู๊ด ซึ่งผมคิดว่ามีอยู่จริงครับ และผมก็หวังว่างานวิจัยที่ฟีโบ้ทำร่วมกับเนคเทคจะทำให้เราเข้าใจเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นตลอดจนช่วยบำบัดน้องๆได้ ผู้อ่านที่ใจบุญอยากบริจาคทุนทรัพย์โปรดติดต่อเนคเทคโดยตรงครับ
ข้อคิดเห็น/เสนอแนะ มาที่ผู้เขียนได้ที่ djitt@fibo.kmutt.ac.th
รู้จักผู้เขียน ภายหลังจบการศึกษา ดร. ชิต ได้กลับมาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี และเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม หรือที่คนทั่วไป รู้จักในนาม ฟีโบ้ (FIBO) เป็นหน่วยงานหนึ่งในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี เพื่อทำงานวิจัยพื้นฐาน และประยุกต์ด้าน เทคโนโลยีหุ่นยนต์ ตลอดจนให้คำปรึกษาหน่วยงานรัฐบาล เอกชน และบริษัทข้ามชาติ (Multi-national companies) ในประเทศไทยด้านการ ลงทุนทางเทคโนโลยี การใช้งานเทคโนโลยีอัตโนมัติชั้นสูง และการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมี ประสิทธิภาพ |
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที