จินตนาการ

ผู้เขียน : จินตนาการ

อัพเดท: 03 ม.ค. 2009 17.18 น. บทความนี้มีผู้ชม: 72910 ครั้ง

บทพิจารณาสังขาร
สัพเพ สังขารา อะนิจจาสัพเพ สังขารา ทุกขาสัพเพ ธ้มมา อะนัตตาอะธุวัง ชีวิตังธุวัง มะระณังอะวัสสัง มะยา มะริตัพพังมะระณะปะริโยสานัง เม ชีวิตังชีวิตัง เม อะนิยะตังมะระณัง เม นิยะตังวะตะอะยัง กาโยอะจิรังอะเปตะวิญญาโณฉุฑโฑอะธิเสสสะติปะฐะวิงกะลิงคะรัง อิวะนิรัตถัง.


เริ่มสนใจพระพุทธศาสนา เพราะคำถามที่ว่า ...

สำหรับคนไทยการไปวัดและเป็นชาวพุทธ นับเป็นเรื่องปกติ ของคนส่วนใหญ่แทบทุกหมู่บ้านจะต้องมีวัด และตั้งแต่เกิดมาแม่ก็มักจะนำดิฉันเข้าวัดเสมอ เพื่อไปทำบุญให้กับบรรพบุรุษ ในวันสำคัญๆๆ โดยเฉพาะวันสงกรานต์ ซึ่งเป็นวันพิเศษที่เด็กหญิงอย่างดิฉันจะมีโอกาสสวมชุดใหม่เพื่อใส่ไปทำบุญที่วัด และไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่เพื่อขอขมาลาโทษ ในวันปี๋ใหม่เมืองของคนเหนือ

แต่ใครจะรู้ว่า วันหนึ่งในวิชาพระพุทธศาสนาชั้น ม.2 ดิฉันต้องเจอกับคำถามสะกิดใจ  จากคุณครูผู้เป็นกัลยาณมิตรคนแรกของดิฉัน ครูถามคำถามที่ดูง่ายๆ แต่กลับเป็นที่คาใจของดิฉันอย่างมาก
"เธอทุกคนเชื่อไหมว่า พระพุทธเจ้ามีจริง?"

สำหรับเด็กอายุ 14 ปี ที่ต้องยกมือตอบคำถามระหว่างคำว่า เชื่อ กับ ไม่เชื่อ หรือไม่รู้เพราะตัดสินใจไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่า สำหรับท่านผู้อ่านแล้วท่านจะตอบอย่างไร แต่สำหรับดิฉัน ในขณะนั้นเลือกที่จะตอบว่า ไม่เชื่อ แต่พอยกมือ ก็เลือกยกตอนที่ครูพูดคำว่า เชื่อ ใช่แล้วค่ะ สมองสั่งการอย่างหนึ่ง แต่ร่างกายกลับกระทำการอีกอย่างหนึ่ง หรือว่า ตัวเรากำลังสับสนเข้าแล้ว กับคำถามที่ง่ายๆ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ดิฉัน จึงเริ่มสนใจที่จะพิสูจน์สมมติฐานที่ว่า องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ถือกำเนิดมามากกว่า 2500 ปีนี้ มีอยู่จริงหรือไม่ และตัวเราควรเชื่อในสิ่งที่ท่านสอนหรือไม่ เราควรยึดตัวบุคคลหรือคำสอนของท่าน 

          ช่วงชั้นม.จึงเป็นปีแรกที่ดิฉันตั้งใจจะลองนั่งสมาธิทุกวัน โดยได้รับคำแนะนำจาก คุณครูจันทร์เพ็ญ ผู้จุดประกายความอยากรู้อยากเห็นและโลกอันลี้ลับ นี้  สิ่งที่เห็นผล ชัดเจนก็คือ ปีนั้นเป็นปีที่เรียนได้เกรดดีที่สุดและคะแนนแต่ละวิชาสูงปรี้ด ท๊อปหลายวิชา แต่นี่ก็ไม่ใช่เรืองแปลกสำหรับเด็กที่เรียนดีมาโดยตลอด ดังนั้นความเชื่อที่ว่า นี่เป็นผลมาจากสมาธิจะดูยังไม่ค่อยสมเหตุสมผลมากนักในเวลานั้น และปีต่อมาก็ได้ทำหน้าที่นำแข่งสวดมนต์สรภัญญะ งานนี้ทำให้ดิฉันต้องซ้อมสวดมนต์ทุกวัน ทั้งบาลีและคำแปล ทั้งบทพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และพาหุง การแข่งขันได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ปีนั้นโรงเรียนของเราได้รับรางวัลอันดับที่ 3 ของจังหวัดเชียงใหม่ ความภูมิใจในผลงานที่ผ่านการตั้งใจในครั้งนี้ ยิ่งเพิมพลังที่จะเรียนรู้ธรรมะมากขึ้น ดิฉันมีความต้องการอยากจะไปปฏิบัติธรรมกับแม่ชีท่านหนึ่งในอำเภอที่อาศัยอยู่ แต่โชคไม่ดีนักที่แม่ไม่อนุญาต ทำให้ความฝันที่จะได้นั่งสมาธิแบบคนอื่น แบบพิเศษที่เห็นว่าเขาได้รับกัน จึงไม่เป็นความจริง แต่สิ่งที่คุณครูบอกก็คือ เมื่อใดที่ได้กราบพระพุทธรูปหรือทำบุญให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า "ขอให้ได้ใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนาทุกชาติไป"


          หลังจากผ่านการเรียนม.ต้น ดิฉันก็ต้องย้ายเข้าไปเรียนในตัวจังหวัดและได้รับทุนของรัฐบาล ช่วงนั้นทำให้ห่างจากคุณครูจันทร์เพ็ญ และธรรมะของพระพุทธองค์ เพราะต้องเอาใจใส่กับการเรียนและต้องเดินทางไปกลับบ้านและโรงเรียนด้วยระยะทาง 50 กม.ทุกวัน นานๆ ทีถึงจะนั่งสมาธิ  ความเป็นวัยรุ่นที่ต้องเที่ยวห้าง ช้อปปิ่งกับเพื่อน เริ่มทำให้จิตใจไม่ได้ฝักใฝ่ที่จะหาคำตอบต่อไป แต่แล้วตอนม.ดิฉันก็ต้องมาเจอกับโจทย์ของอาจารย์พระพุทธศาสนาอีกข้อ ก็คือ "หากใครสามารถท่องคาถาชินบัญชรได้ ครูจะให้คะแนนพิเศษ" ด้วยความท้าทายและเพื่อนส่งเสริม ทำให้ทุกเย็นที่นั่งรถกลับบ้าน เป็นต้องเอาคาถามาท่องเพื่อให้จำให้ได้ เริ่มตั้งแต่ นะโม 3 จบ ปุตตะกาโม... ชินะปัญชะเรติ... และแล้วความพยายาม 1 เทอมก็เป็นผล ตอนท้ายเทอมมีนักเรียนเพียง 3 คนเท่านั้น ที่ออกมาท่องคาถาต่อหน้าเพื่อนและอาจารย์ หนึ่งในนั้นก็มีดิฉันและทั้งสามคนล้วนแต่เป็นนักเรียนหญิงทั้งสิ้น  ดิฉันก็ยังไม่แน่ใจว่า นี่เป็นเหตุที่ทำให้เทอมนั้น ตัวเองได้รับผลการเรียนที่ได้เป็นเกรดที่ดีที่สุดของระดับม.ปลาย และได้ที่ของห้องคิง ในโรงเรียนประจำจังหวัด หรือไม่ 


          หลังจากที่ได้เกรดมาก แม่ก็อนุญาตให้มาอยู่หอพักใกล้โรงเรียน เวลานั้นเป็นการพลิกผันตัวเอง ที่ต้องออกมาจากอ้อมอกแม่ และการได้เรียนรู้อารมณ์ต่างๆ ของเด็กวัย 16 ปี การที่ได้อยู่กับฝูงเพื่อน ทำให้อะไรๆๆ เป็นเหมือนเด็กปกติธรรมดาๆๆ สิ่งที่ดีกับโลกทางธรรมในเทอมต่อมาก็คือ การที่ได้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ โดยมีใบรับรองอย่างเป็นทางการที่โรงเรียนจัดทำเป็นพิธีการใหญ่โตในห้องประชุมโรงเรียน และพระอาจารย์ท่านก็คัดเลือกให้ดิฉันเป็นผู้นำสวดมนต์ในวันนั้น ด้วยเหตุผล ที่ท่านกล่าวว่า ตอนสวดมนต์ในวิชาพระพุทธศาสนาที่ดิฉันเรียนกับท่าน เสียงของดิฉันฟังดูไพเราะและเหมาะสม สำหรับตัวดิฉันเข้าใจว่า เป็นเพราะตอนม.ต้น เคยได้รับการฝึกอย่างหนักเรื่องการสวดมนต์เพื่อแข่งขันและมั่นใจที่จะเปล่งเสียงดังๆ ทุกครั้งที่ได้สวดมนต์ในวิชาเรียน นี่เองที่ทำให้พระอาจารย์ท่านสังเกตเห็นความสามารถของเรา หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ที่ภูมิใจ อีกครั้งหนึ่งในชีวิต ของวัยรุ่นที่ดูเหมือนว่า มักมีเหตุให้ต้องเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอยู่ร่ำไป หรือนี่ เป็นเพราะคำอธิษฐานที่เราตั้งใจกล่าวเสมอไม่เคยลืมว่า "ขอให้ได้ใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนาตลอดไป" 

          การเป็นนักเรียนทุนทำให้ดิฉันเป็นเด็กนักเรียนเพียงกลุ่มเล็กๆ ของประเทศไทยที่ไม่จำเป็นต้องผ่านการเอนทรานซ์เพื่อเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย ชีวิตจึงไม่ต้องเครียดอย่างหนักเหมือนนักเรียนทั่วไป แต่ผลการเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ก็ไม่ได้แย่ ยังคงรักษาระดับได้อย่างน่าพอใจ ตัวของดิฉันเป็นนักศีกษาที่ชอบทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัยทุกอย่าง 


          ทำให้ชอบที่จะไปออกค่ายอยู่เป็นประจำ ชีวิตช่วงนั้น ไม่ได้คิดว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่จำเป็น
สักเท่าไหร่ เพราะด้วยความที่เรียนคณะวิทยาศาสตร์ ปรากฏการณ์ธรรมชาติทุกอย่างล้วนแต่อาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบาย ความสนใจจึงตกไปอยู่ที่ความอัศจรรย์ของ ดีเอ็นเอ ที่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมา ทำให้ตัดสินใจเรียนชีววิทยาพันธุศาสตร์ที่เกี่ยวกับพืชเพราะไม่อยากฆ่าสัตว์  

          แต่แล้ววันหนึ่ง สิ่งอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นกับตัวของดิฉัน เมื่อดิฉันได้รับหน้าที่ให้เป็นประธานค่าย ในค่ายวิทยาศาสตร์แห่งหนึ่ง ของโรงเรียนมัธยมในจังหวัดเชียงใหม่ที่ห่างไกลความเจริญ สิ่งที่เราสอนเด็กก็คือ ให้เขารู้จักคิดตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทำการทดลองสิ่งที่เขาสงสัยเอง จนรักและเข้าใจวิทยาศาสตร์มากขึ้น หน้าที่ประธานค่ายในค่ายนี้ไม่ใช่ค่ายแรกแต่เป็นค่ายที่ 2 สำหรับดิฉัน สิ่งที่อยากทำมาก ณ ตอนนั้นก็คือ ทำสิ่งใหม่ๆ ในค่าย สร้างสรรค์และทุ่มเทให้มากที่สุด ดังนั้นดิฉันจึงตั้งใจและจริงจังกับค่ายนี้เอามากๆ แต่ด้วยความจริงจังทำให้เกิดเหตุการณ์จุกอก พูดไม่ออกและต้องร้องไห้โฮ ออกมากลางที่ประชุมทั้งๆที่ ตัวเองกำลังนำประชุมต่อหน้ารุ่นน้องและเพื่อนๆ เกือบ 50 คน รวมถึงอาจารย์ท่านหนึ่งด้วย ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับว่า ไฟโทสะ มันล้นออกมาจากใจ พุ่งพล่านและควบคุมไม่ได้ มันร้อนแต่ก็เหมือนกับว่าได้ปลดปล่อยบางอย่างออกมาด้วย  

          คืนนั้น ดิฉันนอนไม่หลับ และทำให้นั่งคิดทบทวนสิ่งที่ทำในค่ายทั้งหมด ทุกภาพที่เกิดขึ้นในหัว เหมือนกับว่าไม่สามารถหยุดได้ และมีพลังขับเคลื่อน สิ่งที่ประติดประต่อ ทำให้เกิดสภาวะบางอย่างที่โล่งเบาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนตั้งแต่เกิดมา และแล้วเช้าวันรุ่งขึ้นก็พบว่า สมองนี้เหมือนกับว่า มีความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ก็เหมือนเพิ่มแรมเข้าไป หรือเปลี่ยนซีพียูกันเลยทีเดียว  อาการที่เปลี่ยนไปนี้ สามารถคงอยู่ได้หลายวัน แม้จะจบค่ายไปแล้วก็ตาม ตอนนั้นคิดว่า ทำไมตัวเราฉลาดขึ้นได้มากขนาดนี้นะ และคิดว่า จะเป็นแบบนี้ตลอดไป แต่ไม่จริงคะ เพราะหลังจากกลับมาที่หอพักได้ไม่นาน อาการฉลาดแบบฉับพลันนี้ก็ได้หายไป ตอนนั้นเสียดาย ด้วยเหตุที่ว่า ไม่รู้ว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไมมันถึงดับไปได้ง่ายดาย ทำให้คิดไปถึงสิ่งที่เขาเรียกกันว่า ญาณในทางพระพุทธศาสนา เป็นไปได้หรือไม่ที่เราได้สัมผัสสิ่งนั้น แต่เราไม่รู้ตัว...

          ประกายบางอย่างได้ จุดขึ้นอีกครั้งกับการค้นคว้าหาคำตอบใหม่ที่ว่า "ตัวเราเกิดมาบนโลกนี้ทำไม แค่เกิดมา แล้วก็... เรียนหนังสือ ทำงาน แต่งงาน มีลูก แค่นั้นเองเหรอ นี่หน่ะหรือ คือ เป้าหมายของการเกิดมาเป็นมนุษย์"  การหาคำตอบนี้ไม่ได้จำกัดแค่พระพุทธศาสนา แต่เปิดรับความรู้จากศาสนาคริสต์ด้วย จากเพื่อนคนหนึ่ง แต่แล้วตัวเราก็รู้ใจตัวเองว่า สิ่งที่ดีที่สุด สำหรับมนุษย์อย่างดิฉันก็คือ พระพุทธศาสนา โดยให้เหตุผลกับ ตัวเองแค่ว่า พระพุทธศาสนาเน้นให้เราลองทำ เมื่อทำแล้วก็จะค้นพบคำตอบด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับดิฉันมากกว่า ตอนนั้นจิตใจค่อนข้างปักแน่นมั่นคง ว่าพร้อมที่จะเดินทางต่อไปด้วยความเข้มแข็งแล้ว แต่จะเริ่มจากที่ไหนดีละ ครูบาอาจารย์ดีๆ ก็มีมากมาย 

          โชคดีที่ทางมหาวิทยาลัย มีโครงการนำนักศึกษาไปปฏิบัติธรรมที่วัดเป็นครั้งแรก ดิฉันจึง
สมัครไป และได้ไปปฏิบัติอย่างจริงจังอยู่ที่วัดร่ำเปิงตโปธาราม จังหวัดเชียงใหม่ และนี่เป็นเพียงบันไดก้าวแรกที่จะเริ่มทำความรู้จักพระพุทธศาสนา ในแบบของนักปฏิบัติเท่านั้น ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ต้องเจอและฝ่าฟัน แต่เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ขอให้ติดตามต่อในตอนต่อไป ค่ะ 


น.ส. จินตนา วงศ์ต๊ะ ขณะนี้กำลังศึกษาระดับปริญญาโท ในสาขาสิ่งแวดล้อม 
ที่มหาวิทยาลัยฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันอายุ 25 ปี และเริ่มรักษาศีล
ตั้งแต่ เดือนสิงหาคม ปีพ.ศ. 2548 (อายุ 22ปี)

เนื่องด้วยความศรัทธาและปัญญาที่ได้รับจากการปฏิบัติธรรมแบบสุขวิปัสสโก จาก ธรรมสถานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที