เชื่อมั้ยคะว่าจริงๆแล้วมนุษย์มีเทคโนโลยีกันมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์
วิวัฒนาการของเทคโนโลยี
1. ความหมายของวิวัฒนาการ
วิวัฒนาการ (Evolution) คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงหรือคลี่คลายไปสู่ฐานะที่ดีขึ้นหรือเจริญขึ้น เป็นเปลี่ยนแปลงในทางชีววิทยาจากสิ่งที่ง่าย ๆ ไปสู่สิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้จะต้องเปลี่ยน ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และต้องใช้เวลานาน
วิวัฒนาการ คือ การดำเนินการที่ค่อยเป็นค่อยไป ในเวลาปรกติก็จะพัฒนาไป ต่อเมื่อพบสภาววิกฤตก็จะทำการปฏิรูปจริงจัง
(http://www.onec.go.th/news46/movement/gen451107a.htm)
จากข้อความข้างต้นสามารถสรุปความหมายของคำว่าวิวัฒนาการ ได้ว่า เป็นการพัฒนาอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเผชิญกับสภาวะวิกฤต ทำให้ต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพื่อทำได้ดีขึ้น ซึ่งมีด้วยกันหลายด้านเช่น วิวัฒนาการของเทคโนโลยี วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
ส่วนเทคโนโลยี เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่จัดระบบของความรู้นำไปสู่การปฏิบัติและนำไปสู่การแก้ไขปัญหา
ดังนั้น วิวัฒนาการของเทคโนโลยี ก็คือการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบไปในทางที่ดีขึ้น
2. ลักษณะของวิวัฒนาการ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ครั้งแรกโลกเป็นหมอกเพลิงที่หลุดออกมาจากดวงอาทิตย์ต่อมาเปลือกโลกค่อย ๆ เย็นตัวลง พร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีตลอดเวลา ครั้งแรกยังไม่มีสารอินทรีย์ มีแต่สารอนินทรีย์เท่านั้น ซึ่งค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเป็นสารอินทรีย์ ฉะนั้นเมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไปสารอนินทรีย์จะค่อย ๆ ลดลงพร้อมกับสารอินทรีย์เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่มีสิ่งมีชีวิต
เริ่มแรกจากเซลล์ ๆ จะสร้างสารที่ต้องการจากอาหารได้เติบโต และสืบพันธุ์ได้ และจะต้องมีวิธีที่เซลล์จะได้พลังงานมาใช้ วิธีการนั้นก็คือการหายใจ
3. วิวัฒนาการของเทคโนโลยี
คนเรารู้จักใช้เทคโนโลยีกันมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ นับตั้งแต่การทำเครื่องมือล่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหาร รู้จักการฝนหินเพื่อให้เกิดไฟปิ้งอาหารให้สุก หรือเทคโนโลยีในอดีตอีกอย่างหนึ่งที่เห็นชัด คือ พีรามิดของชาวอียิปต์โบราณที่สร้างโดยวิธีต่อทางลำเลียงลาดเพื่อลากก้อนหินขึ้นไป เทคโนโลยีมีพัฒนาการเรื่อยมาโดยมีการค้นคิดประดิษฐกรรมต่าง ๆ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเนื่องจากมีการใช้เครื่องจักรกลอันสืบเนื่องมาจากการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม พัฒนาการของเทคโนโลยีสืบมาจนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็วทั้งในด้านวัสดุ อุปกรณ์และเทคนิควิธีการ เช่น มีการประดิษฐ์โทรทัศน์ ภาพยนตร์เสียง รวมถึงเป็นยุคแรกของคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในช่วงทศวรรษ 1930s-1940s ที่รู้จักกันดีคือ เครื่อง ENIAC (Electronic Numerical Integrator and Computer) ซึ่งสร้างโดยกองทัพสหรัฐอเมริกา และนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาเมื่อมีการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ยิ่งช่วยให้มีการพัฒนาการของเทคโนโลยีในด้านต่าง ๆ ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้สังคมโลกมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมากดังที่เห็นในปัจจุบัน (กิดานันท์ มลิทอง, 2548 : 1)
วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีด้านการแพทย์
สงครามเป็นสิ่งที่น่ากลัวของมนุษย์จริงหรือ แต่มิใช้สงครามสังคมกลับเป็นสังคมสุขภาพ ซึ่งหลีกเลียงได้ยากจะมาเมื่อไร กับบุคลใด มากน้อยแค่ไหน ไม่มีใครทำนายล่วงหน้าได้ ส่วนสงครามสังคมนั้น มนุษย์ควบคุมได้ว่าจะเกิดเมื่อไร ที่ไหน แค่ไหน สิ่งที่ควบคู่มากับสุขภาพคือ การรักษาโรคและการป้องกันโรค ซึ่งได้พัฒนามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีความพยามอธิบายธรรมชาติของโรค ต้นเหตุของโรคในลักษณะต่างๆ รวมทั้งรูปแบบและแบบแผนของการรักษา การป้องกัน ซึ่งความเชื่อและวิธีการของแต่ละยุคสมัยนั้นย่อมแตกต่างกันไปขึ้นกับประชาชนนั้นจะยอมรับมากน้อยแค่ไหน
วิทยาศาสตร์เมื่อเทียบกับเวลาการเกิดของมนุษย์แล้วมีเวลาเพียนน้อยนิดเท่านั้น แต่พลังของมันมีค่ามากมายเปลี่ยนโลกไปได้มาก เช่นเดียวกันวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์และสาธารณสุขกว่าจะทำลายความเชื่อดั้งเดิมว่าโรคร้ายเกิดจากการลงโทษของพระเจ้าหรือภูตผีร้ายต้องใช้เหตุผล ความรู้ที่แจ่มแจ้งที่ได้จากการค้นพบของแพทย์มาหลายยุคสมัยกว่าจะมาถึงการแพทย์ปัจจุบัน
ทุกสังคมของมนุษย์ความรู้เกี่ยวกับการรักษาโรคเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ อยู่ที่ว่าจะมีบันทึกหลงเหลืออยู่ให้มนุษย์ยุคหลังได้เรียนรู้ศึกษาหรือไม่ ถ้ามองย้อนไปในอดีต การรักษาโรคเริ่มแรกตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์พบในประเทศอียิปต์ ในสมัยอาณาจักรเก่าของอียิปต์มีหมอมากมาย และเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น หมอฟัน หมอตา หมอเกี่ยวกับโรคท้องและลำไส้ ซึ่งได้เรียนรู้มาจากที่เก็บศพของฟาร์โรห์
ความรู้ทางการแพทย์ที่ตกมาถึงเราก็คือ บันทึกที่เขียนลงบนกระดาษพาไพรัส (เป็นกระดาษที่เก่าแก่ที่สุดของอียิปต์) ซึ่งมีมากกว่า 7 ม้วนทีชี้ให้เห็นถึงความรู้ทางการแพทย์ของอาณาจักรเก่าที่ต่อมาได้เป็นรากฐานของความรู้ในสมัยอาณาจักรกลางและอาณาจักรใหม่ พาไพรัส ที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุประมาณ 2000 ปีก่อนศริสศักราชที่ได้กล่าวถึงการรักษาโรคสตรี และโรคเด็ก
พาไพรัสทางการแพทย์ที่สำคัญ คือ สมิทธิ์ พาไพรัส (Smith papyrus) และ อีเบอรส์ พาไพรัส (Ebers papyrus) โดยสมิทธิ์ พาไพรัส มีความยาว
ส่วนอีเบอรส์ พาไพรัส เขียนขึ้นเมื่อ 170 ปีก่อนศริสศักราช หลังสมิทธิ์ พาไพรัส 100 ปี มีความยาว
แต่เดิมการรักษาโรคของชาวกรีกเอนเอียงไปในทางไสยศาสตร์มาก แอสคลีปีอุส (Asclepius) เป็นเทพเจ้าแห่งการรักษาโรคของกรีก เขาเป็นบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก เมื่อตายไปได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้า การรักษาโรคของชาวกรีกในยุคนั้นทำกันในวัดที่มีรูปของแอสคลีปีอุส และทำเป็นสัญลักษณ์ไม้เท้ามีรูปงูพันอยู่ หน้าที่ของพระคือติดต่อระหว่างพระเจ้ากับคนไข้ การรักษาใช้วิธีอาบน้ำมนต์บ้าง และมีการพักนอนในวัด ซึ่งการมานอนในวัดนั้นเชื่อว่ามีเทพเจ้ามาช่วยดูแลช่วยให้กำลังใจคนไข้และให้ยาประกอบด้วย แรกๆ ตำรายามาจากความฝันและตีความเอาเองของพวกพระหายไปก็มาก ตายไปก็เยอะ นานๆเข้าการเรียนรู้ การสังเกตเริ่มรู้ว่าส่วนไหนของพืชชนิดใดใช้เป็นยาได้ รวมทั้งพวกที่มารักษาในวัดเองฉลาด สังเกตวิธีการของวัดนำไปปฏิบัติเองข้างนอก กลายเป็นหมอเลยก็มี ดังนั้นหมอในยุคนั่นคือ พวกที่ศึกษาสังเกตวิธีการรักษาจากวัดนั้นเอง
ยังไม่จบเพียงเท่านี้นะคะ ยังมีเรื่องราวต่อจากนี้อีก เยอะมากๆเลยคะ ยังไงอย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะคะ ....
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที