The dream was always running ahead of me. To catch up,
to live for a moment in unison with it, that was the miracle.
Anais Nin
เมื่อตอนที่เราเป็นเด็ก เรามีความฝันหลากหลาย จนดูเหมือนว่าความฝันนั้นมีอยู่มากมายรอบตัวของเรา เมื่อเรายังเด็ก เราจะถูกผู้ใหญ่ถามเสมอว่าโตขึ้นจะเป็นอะไร ผมอยากเป็นตำรวจ, ผมอยากเป็นทหาร, หนูอยากเป็นนางพยาบาล เด็กๆ สามารถบอกเล่าความฝันออกมาได้ทันที, ชัดเจน, และรวดเร็วแล้วทำไมเมื่อเราเติบโตขึ้น ทำไมความฝันเหล่านี้ค่อยๆ เลือนลาง และจางหายไปในที่สุด
ผมมีเรื่องต้องคิดมากมายไม่มีเวลาคิดเรื่องไร้สาระเหล่านี้หรอก,
ฉันจะต้องทำงานบ้านทั้งวัน ตกเย็นฉันก็เหนื่อยเกินกว่าที่จะคิด หรือทำอะไรแล้ว,
วันๆ ผมต้องเผชิญหน้ากับความจริง ความฝันเป็นเรื่องของเด็กๆ
จริงๆ แล้วความฝันในวัยเยาว์นั้นมันยังอยู่รอบตัวของเรา มันยังมีอยู่มากมาย และไม่เคยลดน้อยลงไปจากเดิมเลย แต่ความฝันของเรานั้น ถูกกำแพงความจริง ณ เวลาปัจจุบันปิดกั้น ทำให้เรานั้นถูกพันธนาการอยู่กับ หน้าที่ ความรับผิดชอบ เราต้องใช้ชีวิตที่ต้องอยู่ไปวันๆ ตื่นเช้าอาบน้ำแต่งตัว ใช้เวลาหลายชั่วโมงบนถนนกว่าจะถึงที่ทำงาน ตอกบัตรเข้างานเพื่อทำงานเดิมๆ จนสิ้นวัน แล้ว ตอกบัตรเพื่อกลับ เพื่อใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงบนถนน กว่าจะถึงบ้านในสภาพที่หมดเรี่ยวแรง ซึ่งจะเป็นอย่างนี้จนเมื่อสิ้นเดือน และเฝ้ารอให้สิ้นเดือนเพื่อมีความสุขเล็กน้อย
กับเงินเดือนที่น้อยนิด นี่คือวงจรชีวิตของคนที่ไร้ซึ่งความฝัน
ถึงเวลาหรือยังที่จะลุกขึ้นที่จะเปลี่ยนแปลง ทำลายกำแพงที่ปิดกั้นความฝันของเรา หรือปล่อยให้ชีวิตของเราไร้จุดหมายดังเรือที่ไม่มีหางเสือ ที่ล่องลอยอยู่กลางทะเลที่มืดมิด เมื่อเราที่ปิดกั้นความฝันเท่ากับปิดกั้นอนาคตตัวเอง เปลี่ยนทัศนคติของเราที่มีต่อความฝันเสียใหม่
ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เพราะความฝันนั้นเป็นความฝันของเราเพียงปรับเปลี่ยนความคิด เท่ากับเราได้เปลี่ยนแปลงโลกรอบตัวเรา
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที