ทุกครั้งที่มีการประกาศผลสอบเข้ามหาวิทยาลัย สิ่งที่ตามมาก็คือจำนวนเรือนแสนของนักศึกษาที่พลาดโอกาสการศึกษาต่อในสถาบันที่ตนเองต้องการ และไม่ว่าจะเป็นเพราะระบบการสอบเข้า การเลือกคณะ หรือแม้กระทั่งความสามารถของตัวเด็กเองก็ตาม สิ่งที่ตามติดเป็นเงาตามตัวก็คือ ภาวะความเครียด ที่เกิดขึ้นทั้งกับตัวเด็กและผู้ปกครอง ทั้งก่อนการสอบ และหลังการประกาศผล
แต่ความเครียดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น มันได้กระจายลงไปถึงการสอบเข้าของเด็กนักเรียนที่อายุเพียงแค่สามสี่ขวบในชั้นอนุบาล เด็ก ห้าหกขวบในชั้นประถม หรือสิบเอ็ดสิบสองขวบในชั้นมัธยมด้วยแม้กระทั่งการสอบระหว่างภาคการศึกษา ก็ทำให้เด็กนักเรียนและผู้ปกครองเห็นพ้องต้องกันว่า ความรู้ที่ได้จากในรั้วโรงเรียนเพียงลำพัง คงไม่เพียงพอต่อการก้าวสู่ความสำเร็จในระยะยาวเสียแล้ว ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ก็คือสถานศึกษาในระบบไม่ได้ให้ ความมั่นใจ กับผู้คนในสังคมอีกต่อไป
นี่คือปัจจัยทางจิตวิทยาที่ทำให้โรงเรียนกวดวิชาต่างๆเกิดขึ้นราวกับดอกเห็ด การกวดวิชา กลายเป็นภาระและหน้าที่จำยอมของเด็กๆ ที่จะต้องหอบกระเป๋านักเรียนจากโรงเรียน มานั่งแออัดกันในเก้าอี้เล็กเชอร์ตัวเล็กๆตามโรงเรียนกวดวิชาชื่อดังต่างๆ โดยหวังเพียงว่า จะทำให้ได้มาซึ่งเกรดที่สูงขึ้นเมื่อถึงเวลาสอบ
เป็นที่น่าหดหู่ไม่น้อย ที่ชีวิตของเด็กไทยยุคนี้ถูกครอบงำด้วยทัศนคติแห่งความหวาดหวั่น และความกลัวว่าจะด้อยกว่าคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เยาวชนมีชีวิตที่คร่ำเคร่ง เวลาส่วนใหญ่จมหายไปกับตำราเรียน ความสนุกสนานตามวัย และการได้วิ่งเล่นตามตรอกซอกซอยกับเพื่อนบ้านนั้น กำลังจางหายไปจากสังคมไทยอย่างน่าเสียดาย
ด้วยความที่ทัศนคติและความคาดหวังต่อ การศึกษา ในวันนี้ผูกติดกับ ผลการสอบ มากกว่า ความสุขที่แท้จริงตามวัยจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ ความเครียด ได้พัฒนากลายมาเป็นเงาตามตัวของเยาวชนไทยแทบจะในทุกระดับอายุ เราเริ่มได้เห็นได้ยินข่าวความน่าสลดใจของเยาวชนไทย ที่คิดสั้น เพียงเพราะผิดหวังจากคะแนนสอบบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ นั่นทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า ระบบการศึกษาของเรานั้นเดินมาถูกทางแล้วจริงหรือ ?
ชาติไทยเราวันนี้พัฒนาก้าวไกลไปอย่างมากในหลายๆด้าน แต่ในด้านการศึกษาและการเรียนรู้นั้น กลับมีคำถามเกิดขึ้นว่า เรากำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ควรจะเป็นหรือไม่ เยาวชนไทย โดยเฉพาะในวัยก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ถูกอัดฉีดในเชิงวิชาการอย่างเข้มข้น ด้วยวิธีการโคลนนิ่งตำรับตำราเข้ามาใส่ในหัวสมอง ท่องคำตอบที่ถูก จำคำตอบที่ผิดก๊อปปี้สูตรสำเร็จ วิธีคิด และวิธีทำ ที่ครูสอนพิเศษทั้งย่อยให้และป้อนให้
หากแต่วิธีการถ่ายทอดความรูู้แบบดังกล่าวนั้น หาใช่การเรียนรู้ในเชิงสร้างสรรค์ไม่ เพราะทั้งหัวสมองและหัวใจของเด็กไทยจะขาดแคลนซึ่ง จินตนาการ และ ความกล้า ที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในแบบฉบับของตัวเอง