amateur_L

ผู้เขียน : amateur_L

อัพเดท: 20 ส.ค. 2008 08.34 น. บทความนี้มีผู้ชม: 7724 ครั้ง

จิบิมารุโกะจัง หลายคนคงเคยได้ดูละคร หรือภาพยนตร์มาบ้าง แต่ขอนำเสนองานแปลเล่ม มารุโกะดัดตะ วรรณกรรมเยาวชนเล่มนี้เด็กอ่านสนุก ผู้ใหญ่อ่านแล้วนึกย้อนถึงวัยเด็ก เข้าใจจิดใจเด็กยิ่งขึ้น ลองอ่านดูนะคะ แล้วคุณจะเห็นภาพสังคมญี่ปุ่นอีกแบบ จากวรรณกรรมที่ไม่จำกัดอยู่กับเรื่องขายดีบนแผงอย่างเดียว


๑ วิมานอากาศโดยละเอียด

「まる子だった」

さくらももこ

1997年9月30日第1刷発行

1うわの空の詳細

๑ วิมานอากาศโดยละเอียด

ระหว่างชั่วโมงเรียนฉันใช้เวลาตามประสาตัวเองทุกทีไปไม่ว่าเวลาไหน  ประสาตัวเองน่ะหรือก็คือ ไม่เคยที่จะฟังครูสอน และก็ไม่ฟังความเห็นของทุกคนด้วย  แล้วฉันทำอะไรน่ะหรือ ก็มีเรื่องให้ทำมากมายบรรดามี ได้แก่ คิดถึงตอนต่อไปของการ์ตูนที่ลงต่อเนื่องในนิตยสาร  คิดถึงของเล่นหรือสัตว์เลี้ยงที่อยากได้  คอยเงี่ยหูฟังว่ามีส่งเศษกระดาษเขียนข้อความบอกต่อหรือไม่  มองภูเขาหรือท้องฟ้าจากทางหน้าต่าง  นำเศษยางลบมาปั่นนวดเข้ากันเล่น หรือไม่ก็เขียนหรือวาดเล่นที่ขอบสมุดจด  สำหรับตัวฉันเองแล้วรู้สึกยุ่งทีเดียวเชียวล่ะระหว่างเรียน  ฉันเองมองว่าตัวเองไม่เคยเหม่อลอย และใช้สมองอย่างเต็มที่เพราะคิดอะไรต่ออะไรตลอดเวลา

แต่อยู่มาวันหนึ่ง แม่เอียงคอพลางบอกฉันว่า  เพราะลูกเอาแต่ล่องลอยอยู่บนวิมานอากาศทำให้ลืมนู้นนี่ และทำอะไรผิดพลาดอยู่เรื่อย  ฉันนี่นะอยู่บนวิมานอากาศ  แล้วเจ้าวิมานอากาศนี่มันเป็นอากาศแบบไหนกันล่ะ  เมื่อถามแม่ แม่ตอบว่า การกระทำทุกสิ่งที่เล่าก่อนหน้านี้สรุปรวมได้ว่าคือ ลักษณะของการล่องลอยบนวิมานอากาศ  และแม่ยังบอกต่ออีกว่า  คำว่าวิมานอากาศมักนิยมใช้กับคนทึ่มเบาปัญญา  และที่มีคำว่าอากาศอยู่ด้วยนี่ไม่ได้หมายถึงสภาพอากาศปลอดโปร่ง หรือเมฆครึ้มแต่อย่างใด

ฉันรู้สึกเคืองความคิดเห็นของแม่อยู่ไม่น้อย  การที่มาเรียกฉันซึ่งพยายามขยายปีกพลังแห่งจินตนาการจากการที่ได้เห็น ที่ได้ฟัง และจดจ่อกับการสร้างสรรโลกของตัวเองอย่างสงบไม่ก่อกวนใดๆ แม่เรียกทั้งหมดนี้ว่า คนทึ่มเบาปัญญา นี่มันอะไรกัน  แม่น่าจะได้ลองคิดทบทวนใหม่  ฉันไม่ได้อยากให้แม่พูดถึงขนาดว่า โมะโมะโกะลูกแม่เก่งที่สุด แม่มีลูกที่ดีอย่างนี้แม่มีความสุขกว่าใครในโลกนี้เลย แต่แม่ก็น่าจะชมประมาณหนึ่งในสามได้  ประมาณหนึ่งในสามของข้างบนเป็นอย่างไรน่ะหรือก็พูดประมาณว่า โมะโมะโกะลูกช่างมีจินตนาการที่พรั่งพรู หรือไม่ก็ แม่ดีใจที่ได้เป็นแม่ของลูกอย่างนี้

ฉันเองลองขอแม่ให้พูดชมประมาณนี้  แต่แม่กลับบอกว่า ตัวเองกำลังถูกดุอยู่แท้ๆ ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะเรา  แม่พูดต่อว่า ทุกครั้งที่ไปร่วมกิจกรรมชมการเรียนการสอนที่โรงเรียนลูก แม่เป็นต้องอายจากการเหม่อลอยในวิมานอากาศของลูก  ครูเองก็เคยบอกแม่ว่า เด็กหญิงซากุระเป็นเด็กที่ชอบเหม่อลอยในวิชาเรียน แม่นี่อายแทบแย่ ขอร้องล่ะลูก ตั้งใจเรียนกว่านี้หน่อยนะ และท้ายที่สุดแม่ก็ปล่อยโฮออกมา อะไรกันนี่ฉันต่างหากต้องการให้แม่ปลอบโยน แต่นี่อะไรเรื่องกลับตาลปัตรไปซะได้

หลังจากนั้นไม่นาน แม่ซึ่งอับอายกับลูกแต่เดิมอยู่แล้วต้องมาอายขายหน้ากันยกใหญ่อีกครั้ง  วันนั้นวันที่ต้องไปชมการเรียนการสอนที่โรงเรียน

วิชาที่เรียนของวันนั้นคือเลขคณิต นี่เป็นหนึ่งวิชาในบรรดาที่ฉันไม่สามารถแสดงความสามารถได้เต็มที่ที่สุด  ปล่อยให้เด็กคนอื่นๆได้แสดงพลังสมองกันตามใจชอบดีกว่า ฉันคิดและทำตามประสาตัวเองอย่างเคย การเตรียมเพื่อที่จะทำตามประสาตัวเองง่ายมาก  ก่อนอื่นก็นำสมุดจดและหนังสือเรียนขึ้นมาวางบนโต๊ะ วางกล่องดินสอไว้ด้านหนึ่งแล้วจึงท้าวคางและมองไปที่โคมไฟในห้องเป็นอันว่าใช้ได้ และจะให้ดีกว่านั้นให้เลื่อนสายตาไปทางกระดานดำบ้าง หรือแอบมองนาฬิกาสำรวจเวลาบ้างเป็นครั้งคราว  หากทำได้ดังนี้ก็จะสามารถสร้างภาพทำให้ครูรู้สึกเหมือนว่าเราสนใจเรียนอยู่บ้าง เราจะได้ไม่ต้องกังวลว่าคุณครูจะขัดจังหวะโลกตามประสาของเรา

ทุกอย่างพร้อมที่จะเข้าสู่โลกฝันแล้ว  ที่นั่งของฉันอยู่ฝั่งทางเดิน ตอนแรกก็หวั่นๆกับสายตาแม่ แต่สักพักก็เริ่มชิน  การที่ทำตามประสาตัวเองระหว่างเรียนไม่ต้องใช้ความสามารถพิเศษอะไร และก็ไม่ต้องพยายามทำตัวโดดเด่นดึงดูดสายตาพวกแม่ๆ  ฉันแวบสายตาไปที่หน้าต่างฝั่งทางเดิน เห็นหน้าแม่ด้วยล่ะ ถึงแม้ว่าฉันจะนั่งอยู่ใกล้หน้าต่างฝั่งทางเดินแต่แม่ก็คงไม่เข้ามาใกล้กว่านี้หรอก ฉันคิดไปพลางเหลือบตามองแม่อีกครั้ง  คราวนี้แม่ขยับมือทำสีหน้าเข้มเหมือนจะสั่งอะไรบางอย่าง  รู้แล้วน่าเพราะฉันเหลือบตามองแม่  แม่จะบอกว่าอย่าวอกแวกใช่ไหม เข้าใจแล้ว ใครล่ะอยากจะไปมองแม่ ฉันคิดพลางดึงตัวเองกลับมาท้าวคางในท่าปกติแล้วก็เข้าสู่โลกฝันของฉันอย่างง่ายดาย

เวลาเรียนผ่านไปได้ยี่สิบนาที ระหว่างที่เพื่อนร่วมชั้นต่างกำลังขบคิดแก้โจทย์คณิตกันอย่างจริงจัง ฉันเองก็กำลังเพลิดเพลินกับโลกฝันว่าหากได้เลี้ยงสุนัข เอ จะเลี้ยงสุนัขพันธุ์อะไรดี แล้วจะต้องจัดการกินการอยู่อย่างไร  หากฉันได้เลี้ยงสุนัขล่ะก็ ฉันคงต้องไปที่ห้างสรรพสินค้าของเมืองชิสุโอกะกับพ่อแล้วก็ซื้อสุนัขพันธุ์ชิบะ  ทำไมต้องเป็นสุนัขพันธุ์ชิบะน่ะหรือก็เพราะว่าที่บ้านก็คงจะแนะนำให้เลือกพันธุ์นี้เพราะตัวมีขนาดย่อมและเลี้ยงไม่ยาก  อ้าวแต่นี่เป็นโลกฝันนะเราก็เลือกสุนัขพันธุ์ที่ตัวเองต้องการตามใจชอบสิ แต่การทำให้สมจริงไม่ใช่แค่โลกฝันแบบว่าสร้างความรู้สึกว่าใกล้ตัวน่าสนุกจะตายไป ฉันคิดและตอบตัวเองต่อว่า เพราะฉะนั้นสุนัขที่เจ้าของร้านขายผักน่าจะสามารถเลี้ยงได้ต้องไม่ไช่เซ็นต์เบอร์นาร์ด หรือเยอรมันเชพเพิร์ดแต่ต้องเป็นสุนัขชิบะ

เมื่อแม่และพี่เห็นฮิโระชิกับฉันซื้อสุนัขกลับมาก็คงจะบ่นบ้างว่า นี่ตั้งใจจะเลี้ยงสัตว์กันอีกแล้วใช่ไหม เฮ้อ น่าเบื่อซะจริง แต่ประเดี๋ยวเดียวก็จะหลงไปกับความน่ารักของเจ้าลูกสุนัข อยากให้อาหาร อยากอุ้ม แล้วก็คงจะลืมสิ่งที่จะบ่นจะดุไปเป็นแน่ หลังจากนั้นเจ้าลูกสุนัขตัวนี้ก็จะมีชื่อเรียกว่า เจ้าตัวเล็ก แล้วฉันก็จะเอามันใส่ตะกร้าหน้ารถจักรยานที่ฉันเพิ่งจะหัดขี่ได้สำเร็จ และขี่พามันไปที่ทุ่งดอกหญ้าที่ห่างจากบ้านไปราวสิบห้านาที ฉันกับเจ้าตัวเล็กจะหยอกล้อกันไปพลางหัวเราะกันไปอย่างสนุกสนาน ฉันจะทำสร้อยคอจากดอกหญ้าให้เจ้าตัวเล็ก  ทะมะจังเพื่อนของฉันชอบสุนัขมากเธอคงจะรักเอ็นดูเจ้าตัวเล็กเช่นกัน  ฉัน ทามะจังแล้วก็เจ้าตัวเล็กพวกเราสามคนถ้าได้ไปเดินเขาที่อุทยานใกล้ๆสักแห่งก็คงจะสนุกไม่น้อย หากมีเจ้าตัวเล็กอยู่ด้วยล่ะก็ฉันจะตื่นตอนหกโมงเช้าทุกวัน แล้วฉันก็จะพามันไปเดินเล่นรอบๆเมืองสักสามสิบนาที พอเจอหน้าผู้คนก็จะกล่าวทักทายอย่างสดใสว่า สวัสดีตอนเช้าค่ะ หลังจากนั้นก็จะกินข้าวเช้าราดหน้าไข่ดิบคลุกกับซอสโชวยุ และกลายเป็นเด็กที่มีแววเฉลียวฉลาดซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับตัวตนปัจจุบัน

แล้วโลกฝันของฉันที่หากว่า สามารถเลี้ยงสุนัขได้ ก็แผ่ขยายวงกว้างออกไป โลกฝันเกี่ยวกับสุนัขของฉันมักจะมีลักษณะคล้ายๆเดิม แค่เพียงบางทีก็เปลี่ยนจากสุนัขชิบะเป็นปอมเมอลาเนียนบ้าง เป็นยอร์กไชเทอร์เรียบ้างแต่ยังไงก็ตาม ทุกครั้งฉันต้องนำมันใส่จักรยานขี่พาตรงไปที่ทุ่งดอกหญ้า  แล้วทะมะจังก็จะปรากฏตัวขึ้นและชวนกันไปเดินเขา หลังจากนั้นฉันก็จะกลายเป็นเด็กที่สมบูรณ์แบบโดยเจ้าสุนัขน้อยตัวนั้น

โลกฝันเกี่ยวกับสุนัขจบแค่นี้ก่อน ถัดมาเปลี่ยนไปคิดเรื่องต้องเก็บเงินอีกสักเท่าไร จึงจะซื้อตุ๊กตาเจ้าหญิงบุงโจได้  ก็ล่ะนะหากเทียบกับวิชาเลขเกี่ยวกับเลขเศษส่วนน่าเบื่อที่เพื่อนๆในห้องกำลังเรียนกันอยู่ล่ะก็ นี่นับเป็นการฝึกหัดที่จำเป็นในการใช้ชีวิตจริงมากกว่าเป็นไหนๆ

ด้วยความรู้สึกลำพองใจฉันจับดินสอขึ้น เอาล่ะได้เวลาคำนวณแล้วต้องกางสมุดออกล่ะนะ  ขณะที่จะเอื้อมมือไปเพื่อกางสมุด อ๊ะ สมุดที่วางไว้บนโต๊ะที่น่าจะเป็นสมุดวิชาเลขกลับเป็นสมุดวิชาสังคม ฉันเพิ่งจะรู้ตัว  ตั้งแต่เริ่มเรียนมาก็นานมากที่ฉันถูกพวกแม่ๆที่ยืนอยู่ฝั่งทางเดินมองมาขณะที่ฉันวางหงายหน้าสมุดที่เขียนด้วยลายมือไก่เขี่ยของฉันว่า วิชาสังคม  แน่นอนว่าแม่จะต้องเห็นตัวหนังสือ “วิชาสังคม” จึงได้ตีหน้าเข้มและมองมาทางนี้เพื่อจะบุ้ยใบ้บอก

 ฉันร้อนรนขึ้นมาทันทีพร้อมกับค่อยๆเก็บสมุดวิชาสังคมลงใต้โต๊ะ แล้วทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นพร้อมๆกับกางสมุดวิชาเลขออกขณะที่ใจจริงเต้นระส่ำ  สมุดวิชาเลขที่กางออกนั้นก็ไม่ได้ที  มีแต่สิ่งเขียนเล่นไร้สาระ ฉันจึงต้องจดจ่อกับกับการใช้ยางลบลบออก

“ลบสิ่งที่เขียนไปแล้วนี่มันก็ไม่ง่ายเลยนะ” ฉันคิดพลางออกแรงขยับยางลบ   ขณะเดียวกันคุณครูหันมามองและทันใดนั้นก็พูดว่า “ซะกุระ ไหนเธอลองบอกสิ่งที่ครูพูดไปเมื่อครู่นี้ซิ” พร้อมกับจ้องมาที่ฉัน

ลองคิดดูสิว่าฉันจะตกใจ หวั่นตะลึงขนาดไหน ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ  ทุกคนไม่ว่าใครคงต้องคิดว่า “อ๋อ ซะกุระคงไม่ได้ฟังครูพูดแหง” ฉันมองก็รู้ และความจริงก็เป็นอย่างนั้นซะด้วย   ซะกุระมัวแต่ใช้ยางลบลบที่เขียนเล่นไว้จนไม่ได้ฟังครูสอน ไม่ใช่แค่นั้นก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้กางสมุดเลข   แล้วแถมคิดแต่เรื่องสุนัขอยู่   เด็กหญิงซะกุระเหลวไหลมากกว่าที่เพื่อนๆคิดไว้

เข้าตาจน  ฉันจึงต้อง “ขอโทษค่ะ หนูมัวแต่ใช้ยางลบลบอยู่เลยไม่ได้ฟังที่ครูพูด”   ฉันบอกแต่ว่าใช้ยางลบลบแต่บอกไม่ได้หรอกว่าลบอะไร ฉันตั้งใจตอบอย่างตรงไปตรงมา และซื่อๆ

ฝ่ายคุณครูเองคงเพราะมีผู้ปกครองอยู่ด้วยจึงไม่ซักต่อ  แล้วชั่วโมงเรียนก็ดำเนินต่อไป แต่ฉันรู้สึกตัวเล็กลีบตลอดเวลาที่เหลือ แหม อุตส่าห์หันมาตั้งใจเรียนได้แล้วแต่ก็ไม่มีกะใจที่จะคำนวณว่าต้องการเงินอีกเท่าไรจึงจะซื้อตุ๊กตาบุงโจได้ ในหัวของฉันคิดแต่ว่าวันนี้กลับบ้านไปจะโดนแม่ว่าอย่างไร ในหัวมีแต่คำดุของแม่ลอยมาเป็นชุด  ครั้งนี้จะโดนหรือไม่โดนครูดุก็ตามแต่ก็ไม่มีใจจะเรียนได้แล้ว

พอกลับถึงบ้านแม่ก็เริ่มเทศน์ตามคาด  “รู้ไม๊ วันนี้นะ เป็นวันที่แม่อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีไปให้พ้น ทำไมนะ ทำไมถึงได้กางสมุดวิชาสังคมในวิชาเลขได้นานสองนานโดยไม่รู้ตัว แล้วมิหนำซ้ำพอถูกครูถาม ยังทำหน้าตาเฉย เอื่อยเฉื่อย ถ้าปล่อยแกยังไงก็ได้ แม่คงสบายใจเป็นไหนๆ   คนเป็นแม่มีลูกเหลวไหลอย่างนี้จะทำยังไงดี” แม่ดุหน้าดำหน้าแดง   หลังเทศน์จบหน้าแม่บ่งบอกว่ายังเปื้อนไปด้วยอารมณ์ “โกรธอยู่” ซึ่งดูน่ากลัวทีเดียว

แม่ไปตามฮิโระชิที่อยู่ในร้านแล้วก็เล่าความขายหน้าส่วนหนึ่งของฉันวันนี้ให้ฟัง  ฉันเฝ้าดูเหตุการณ์จากใต้เงาบันได   ฮิโระชิดูเหมือนไม่ค่อยสนใจเรื่องที่แม่เล่า ลักษณะท่าทางเพียงแต่เออออตาม พลางสูบบุหรี่และจ้องดูกรอบรายการทีวีในหนังสือพิมพ์ไปด้วย

พอแม่บอกฮิโระชิว่า “นี่พ่อ เตือนโมะโมะโกะ สักหน่อยสิ” ฮิโระชิตอบกลับว่า “วันนี้ มิโซะระ ฮิบะริ จะออกรายการเพลง

ดังวันวานด้วยล่ะ”แม่ยิ่งโกรธ    แล้วฉันก็ได้ยินแม่แผดเสียงว่า“ทำไมทั้งโมะโมะโกะ ทั้งคุณถึงได้เหม่ออยู่ในโลกฝันนะ!?  ชั้นชักจะเอือมจริงๆแล้วนะ ชั้นอยากจะพายัยโตหนีออกจากบ้านไปจริงจริง”

      ฉันหัวเราะพลางวิ่งขึ้นบันไดแล้วก็ล้มตัวนอนในห้องของฉันและลองจินตนาการว่า “ถ้าแม่พาพี่สาวออกจากบ้านไป.....”

      ถ้าฉันอยู่กับฮิโระชิ ปู่และย่าแค่นั้นละก็ คงไม่ใช่เวลามาเลี้ยงสุนัขสินะ และคิดเรื่อยเปื่อยต่อไปว่าถ้าแม่ออกจากบ้านไปจริงๆเราคงจะลำบาก เพราะฉะนั้นถึงจะถูกโกรธอย่างไรก็จะไม่โต้แย้งแม่ล่ะ


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที