พระภิกษุสามเณร กับการมีส่วนร่วม พัฒนาการทางการเมืองไทย
วิกูล โพธิ์นาง
๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๑
www.oknation.net/blog/wikulponang
บทนำ
ประเทศไทยเรา มีดีอยู่หลายอย่าง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือสถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมถึงองค์ประกอบแวดล้อมต่างๆ
โดยเฉพาะทรัพยากรมนุษย์อันมีค่าของเรา แต่เรายังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆเหล่านี้อย่างเต็มพิกัด เหตุผลหลักก็มาจาก การเมืองของเราที่ผ่านมา และที่ดำรงอยู่ขณะนี้ยังไม่นิ่ง
เมื่อการเมืองไม่นิ่ง ไม่มั่นคงส่งผลให้ ระบบเศรษฐกิจ และสังคมอ่อนแอ ดังจะเห็นได้จากค่าครองชีพที่สูงขึ้น การทำมาหากินยากลำบาก จนรัฐบาลต้องออกนโยบายประชานิยม ๖ มาตรการ ๖เดือน มาบรรเทาเฉพาะหน้า เกิดคดีอาชญากรรม ที่ผู้กระทำเป็นเด็กในวัยประถมเพิ่มขึ้น
ประเด็น
การที่เราจะแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ และสังคม ในปัจจุบันนี้สิ่งเร่งด่วน ก็ต้องมาแก้ไขการเมืองให้เกิดความมั่นคง พร้อมกับการแก้ไข ทั้งสามสิ่งไปพร้อมกันด้วยอีกทางหนึ่ง เพราะทั้งสามสิ่งนั้นสัมพันธ์กัน
อันดับแรกนี้ เราต้องแก้ไขการเมือง การแก้ไขการเมืองนั้นต้องเริ่มที่ให้การศึกษากับประชาชน หากจะอาศัยในระบบ การศึกษาปกติ คงไม่ทันการแล้ว
จึงต้องให้การศึกษาเฉพาะหน้าแบบเร่งด่วน เพื่อให้ทันกับปัญหาเร่งด่วนนั้นๆ นั่นก็คือให้สถาบันทางพระพุทธศาสนา คือวัดและพระสงฆ์เข้ามาร่วมรับผิดชอบ
เหตุผล
เพราะสถาบันทางพระพุทธศาสนา วัดและพระสงฆ์ไทยนั้น สามารถเปลี่ยนทัศนะคติให้กับประชาชนที่อยู่แวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยพื้นฐาน ประชาชนมีความเชื่อและศรัทธาต่อวัดและพระสงฆ์เป็นทุนเดิม รวมถึงบทบาทของวัดและพระสงฆ์ไทย ก็เกี่ยวข้องและเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาทางการเมืองมาแล้วตั้งแต่อดีต
ดังจะเห็นได้จากภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ในบทบาทของพระมหาเถรคันฉ่อง ดังนั้น จึงเชื่อว่าหากให้สถาบันพระพุทธศาสนา วัดและพระสงฆ์เข้ามามีบทบาทแล้ว จะช่วยส่งเสริมให้ประชาชน ได้เรียนรู้ระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้เป็นอย่างดี ทั้งยังจะช่วยกีดกันไม่ให้นักการเมืองน้ำเสีย เข้ามาอยู่ในวงการเมืองได้ด้วย
อีกทั้งบทบาทนี้ ก็เป็นภารกิจสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาด้วยเช่นกันเพราะหากชาติไทยไม่มั่นคงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมแล้ว การดำรงอยู่ของสถาบันพระพุทธศาสนาในประเทศไทยก็ยากจะคงอยู่ได้อย่างมั่นคงถาวรเช่นกัน
ทั้งยังสนับสนุนการเผยแพร่ธรรมด้วย นั่นคือ ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติก็คือประชาธิปไตย โดยประชาธิปไตยต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการกินดีอยู่ดี เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือธรรมาธิปไตยด้วยนั่นเอง อันเป็นเป้าหมายของพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว
ภารกิจนี้คงไม่เกินความสามารถของพระสงฆ์ไทย เพราะว่า การศึกษาของท่านเหล่านั้นในปัจจุบันได้ก้าวหน้าไปมากในทางธรรมและวิชาการชั้นสูงของโลกาภิวัฒน์
เรามีมหาวิทยาลัยสงฆ์ แหล่งผลิตองค์ความรู้ บัณฑิตทางพระพุทธศาสนา ถึงสองแห่ง คือมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย รวมถึงวิทยาเขตและเครือข่ายการศึกษากระจายอยู่ทั่วราชอาณาจักรไทย
ขณะนี้ประเทศไทยเรามีวัดอยู่มากกว่า สามหมื่นกว่าวัด (ไม่รวมวัดร้างกว่าหกพันวัด) มีพระภิกษุสามเณรอยู่ประมาณ สามแสนกว่ารูป รวมทุกนิกาย ในจำนวนนี้ก็เป็นบัณฑิตอยู่มากมาย รวมถึงพระภิกษุสามเณรที่เป็นปราชญ์ ก็มีอยู่ไม่น้อย
ทั้งการบริหารของคณะสงฆ์ไทยก็เป็นเอกภาพ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประมุขสูงสุด สามารถสั่งการจากส่วนกลางได้อย่างรวดเร็วโดยผ่านกรรมการมหาเถรสมาคมไล่ลงไปตามลำดับ เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และเจ้าอาวาส
โดยประสานร่วมมือกับสถานการศึกษาที่อยู่ภายในรัศมีของแต่ละวัด
งบประมาณ หรือค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นกับงานนี้ ไม่น่าจะเกินความสามรถของคณะสงฆ์ไทย และฆราวาสญาติโยมที่เห็นประโยชน์ จะต้องให้ความร่วมมือบริจาคอย่างแน่นอน โดยสามารถระดมทุนจากวัดทั่วราชอาณาจักรได้ เพราะแต่ละวัดนั้นมีงบประมาณที่หามาได้ในอันที่จะสร้างถาวรวัตถุ ก็ให้หยุดสิ่งเหล่านั้นก่อน เพื่อนำมาพัฒนาจิตใจและการมีส่วนร่วมทางการเมือง
งบประมาณที่จะหวังจากรัฐบาลนั้นก็ให้ตัดออกไปเสีย เพราะต้องผ่านขั้นตอนยุ่งยากหลายประการ เกรงจะไม่ทันการ หากได้ก็ไม่ขัดข้อง
ข้อเสนอแนะ
ผมขอนำเสนอ พอเป็นพื้นฐาน และคิดว่าทุกท่านที่อยู่ในวงการสถาบันสงฆ์ไทยขณะนี้คงเห็นภาพและปัญหาได้ดี ก็จะได้ประยุกต์ต่อไป โดยทุกระดับของคณะสงฆ์ต้องประสานกัน ดังนี้
๑.กรรมการมหาเถรสมาคม ควรนำเรื่องบ้านเมืองมาพิจารณา ว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้ประชาชนในเขตตำบลวัดนั้นทั่วประเทศ เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างพุทธ โดยเริ่มให้ความรู้ความเข้าใจจากระดับพระสังฆาธิการลงไป แล้วสั่งการลงไปอย่างเป็นระบบ และมีการชี้วัดผลสำเร็จของงาน พร้อมทั้งเพิ่มผลสำเร็จของงานนี้เป็นหนึ่งในการประเมินวัดแต่ละวัด เกี่ยวกับการบริหารทั่วไป
๒.มหาเถรสมาคม ต้องพิจารณาเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาวัดที่เป็นวัดร้าง ที่มีอยู่กว่าหกพันกว่าวัด ให้มีพระภิกษุสามเณรประจำอยู่อย่างน้อยสองรูป โดยกำหนดเป็นนโยบายให้แต่ละเจ้าคณะภาคนำไปพิจารณาให้เหมาะสมแต่ละภาคนั้นๆ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างทั่วถึงทุกหมู่บ้าน
๓.เจ้าคณะภาค ต้องตั้งองค์งานเพื่อตรวจติดตามผลงานในระดับท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด ทั้งต้องประสานกับส่วนกลางเพื่อให้ระดับเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และเจ้าอาวาสได้ทำงานอย่างสะดวก
๔.เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะตำบล รวมถึงเจ้าอาวาส ต้องจัดการประชุมและวางกลยุทธเพื่อสนองต่อคำสั่งจาก กรรมการมหาเถรสมาคม โดยจัดทำข้อมูลวัด และพระภิกษุสามเณรในปกครอง รวมถึงจำนวนครัวเรือนและประชากร ที่อยู่ในเขตปกครอง โดยสามารถประสานงานกับการปกครองส่วนภาครัฐ และต้องติดตามประเมินผลเป็นระยะ ทั้งระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด
๕.จัดให้มีการนำเสนอผ่านสื่อในท้องถิ่น ทั้งวิทยุชุมชน สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อรูปแบบอื่น โดยสอดแทรกเข้าไปในการเทศน์ การบรรยาย หรือเฉพาะเรื่อง
๖.ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ต้องจัดเป็นหลักสูตรมาตรฐานทั่วประเทศ พร้อมกับบรรจุเรื่องเกี่ยวกับการเมืองเข้าไปให้เหมาะสมกับวัยของแต่ละระดับชั้น
๗.กิจกรรมเกี่ยวกับเยาวชน เช่นสามเณรภาคฤดูร้อน ให้กำหนดเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยมีความรู้เกี่ยวกับการเมืองการปกครองเข้าไปด้วย
๘.ประสานกับฝ่ายปกครอง ให้มาให้ความรู้กับพระสังฆาธิการทั่วเขตปกครองของแต่ละจังหวัด เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง
๙.คณะพระธรรมทูต ที่มีศักกายภาพ ต้องนำเรื่องการเมืองการปกครองผสมผสานเข้าไปในการเผยแผ่ธรรมนั้นๆ ด้วยหลักการเดียวกันทั่วประเทศ
๑๐.แต่ละจังหวัด ต้องสร้างพระนักเทศน์ เยี่ยงพระนักเทศน์ชื่อดังเช่นทุกวันนี้ โดยต้องเป็นการสร้างให้มีในแต่ละจังหวัดให้ครบ พร้อมหาเวทีและให้ท่านได้ทำงาน ทั้งนำเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยไปบรรยายด้วย
๑๑.เป็นต้น
สิ่งที่เป็นห่วง
การดำเนินการใด ต้องไม่เอนเอียงไปกับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือกลุ่มผลประโยชน์ใด ทั้งนี้ก็ให้พิจารณาให้ดี มิฉะนั้นจะกลายเป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว
สรุป
สิ่งที่ผมนำเสนอมานั้น ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความคิดที่มีอยู่ ของผู้ที่อยู่ภายนอกคณะสงฆ์ คงไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที ก็ขึ้นอยู่ที่คณะสงฆ์ไทย ที่เป็นผู้อยู่ในระบบเองจะสามารถพิเคราะห์ได้ดีกว่าว่าสิ่งใดทำได้ สิ่งใดไม่ควรทำ โดยจุดประสงค์แล้ว ก็หวังให้คณะสงฆ์ไทยที่มีศักกายภาพปัจจุบันนี้ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการทางการเมือง ซึ่งเชื่อว่าสามารถเป็นไปได้ ด้วยความเชื่อศรัทธาของประชาชนที่มีต่อวัดและพระสงฆ์ไทยมาช้านานแล้ว
////////////////////////////
ภาพ : อินเทอร์เน็ต
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที