ช่วงเวลาที่ประทับใจที่สุดในชีวิตการทำงานของคุณคือ คงเป็นช่วงที่ผมเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีด้านสถาปัตยกรรมครับ
แม้ว่าตอนนี้ผมจะไม่ได้ทำงานออกแบบเพื่อเลี้ยงปากท้อง แต่ผมยังรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้ทำงานออกแบบ (เช่น ออกแบบบ้านของตัวเอง ห้องของตัวเอง) ทุกครั้งที่ทำงานเสร็จหนึ่งงาน ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม นั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในความรู้สึกผม
ในชีวิตการทำงาน คุณไม่ได้โฟกัสที่งานสถาปัตยกรรมบ้างเลยหรือ ไม่ได้ออกแบบ แต่ผมยังทำงานที่เกี่ยวข้องอยู่บ้าง เช่น ปีนี้ผมเป็นคูเรเตอร์ให้งานเบียนนาเล (Biennale) ของฮ่องกง เป็นงานที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งก็ถือว่าน่าสนใจมากครับ
สถาปนิกในดวงใจของคุณ เลอ คอร์บูซิเอร์ (Le Corbusier) แฟรงค์ ลอยด์ ไรท์ (Frank Lloyd Wright) มีส แวน เดอ โรฮ์ (Mies van der Rohe) หลุยส์ อิ คานส์ (Louis I. Kahn)
คุณคิดว่าสถาปัตยกรรมใดที่ถือเป็นไอคอนของเกาะฮ่องกง ผมเลือกเกาลูนวอลล์ซิตี้ (Kowloon Walled City) ละกัน แม้ว่าตอนนี้มันจะไม่มีอยู่จริงแล้ว สำหรับคนฮ่องกงมันก็คือสลัมน่ะ มันไม่ใช่สถาปัตยกรรมในมุมของ High Art ที่สูงส่งหรืออะไร แต่มันเป็นที่ที่สะท้อนความสร้างสรรค์ของมนุษย์ในสังคมจริงๆ ผมว่ามันคือจิตวิญญาณความเป็นฮ่องกงเลย และของคนฮ่องกงเลยล่ะ
คุณชอบอ่านหนังสือประเภทไหน ทุกประเภทครับ ผมคิดว่าหนังสือทุกอย่างมันก็มีมุมของมัน
แล้วตอนนี้คุณอ่านหนังสืออะไรอยู่ อ่านนิยายจีนเรื่องหนึ่งอยู่ครับ เพิ่งเริ่มได้สองสามบท เรื่องนี้กำลังดังมากเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมจีนร่วมสมัย มีหมาป่าเป็นตัวเอก ซึ่งหมาป่าตัวนี้เป็นเหมือนจิตวิญญาณสะท้อนวัฒนธรรมและค่านิยมของชาวจีน
ถ้าคุณจะแนะนำให้เยาวชนอ่านหนังสือเกี่ยวกับ เศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ คุณจะแนะนำเล่มไหน (นอกเหนือจาก The Creative Economy ของ John Howkins) ผมว่าเล่มที่ Howkins เขียนไว้ก็ดีมากนะ ตรงประเด็นที่สุด แต่ถ้าไม่นับเล่มนี้ผมก็มีในใจอีกหลายเล่ม แต่คงจะไม่ฮิตในหมู่เยาวชนหรอก เช่น เล่มของริชาร์ด เคย์ (Richard Kay) ที่พูดถึงไอเดียของ Dealership หรือการทำ Contract ในธุรกิจด้านศิลปะวัฒนธรรม แต่มันเขียนเป็นวิชาการมากน่ะครับ
คุณคิดว่าประชาชนทั่วไป (ตาสีตาสา) สามารถมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรกับแนวคิดหรือนโยบายเศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ที่ว่านี้ เวลาที่รัฐทำนโยบายใดมันก็คือการสร้างกระแสความสนใจต่อเรื่องนั้นๆอยู่แล้วใช่มั้ย ไม่ว่าจะจากภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือจากสาธารณชนเองก็ตามที แต่ผมว่าสังคมหรือคนทั่วไปนี่เขามีหนทางในการตระหนักหรือเข้าใจใน ความสร้างสรรค์ ของเขาเองนะ มันไม่ใช่ว่าเราต้องไปบอกไปสอนแล้วเขาถึงจะเข้าใจได้ สิ่งที่รัฐทำได้คือ ต้องสร้างกิจกรรมหรือสร้างสินค้าที่มันสร้างสรรค์ขึ้นมา ทำให้ผู้คนเขาได้สัมผัสรับรู้ที่เหลือก็ปล่อยให้สังคมค่อยๆซึมซับกันเอง จะไปเร่งหรือไปบังคับให้เขาสนใจหรืออยากเกี่ยวข้องด้วยนั้นมันคงเป็นไปไม่ได้ ต้องปล่อยไปตามกลไกธรรมชาติครับ
คำว่า ทุนทางสังคม (หรือ Social Capital) ในมุมมองของคุณคืออะไร ตัวอย่างของทุนทางสังคมที่วัดกันได้จริงๆเลยก็อาจจะเป็น เงินบริจาค อย่างเวลาที่เมืองจีนมีแผ่นดินไหว หรือภัยธรรมชาติร้ายแรงเกิดขึ้น คนทางฮ่องกงก็จะรวบรวมเงินบริจาคและส่งความช่วยเหลือไปเสมอ นี่คือ ทุนทางสังคม ที่มีอยู่ในชุมชนหนึ่งๆ หรือในทางกลับกัน เรื่องสวัสดิการสังคม (Social Welfare) รัฐให้อะไรตอบแทนกับสังคมและประชาชนบ้าง เราใช้เงินกับสิ่งเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน
|