การเกษียณอายุเปรียบเหมือนฤดูแห่งการผลัดใบ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย สำหรับตัวผู้เกษียณอายุเอง นี่เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ มีหลายเรื่องต้องเรียนรู้และปรับตัว
ถ้ามองจากมุมของคนวัยทำงานอาจมองว่าเป็นเรื่องน่าอิจฉาที่สุด เพราะจะได้หลุดพ้นจากพันธนาการทั้งหลาย เป็นช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตตามใจปรารถนาเสียที
ในเมื่อทุกสิ่งรอบตัวเปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่เคยตื่นเช้าไปทำงาน ได้พบปะผู้คนมากมายทุกวัน กลายเป็นว่าต้องอยู่เฝ้าบ้านคนเดียว มีเวลาว่างเหลือเฟือแต่ไม่รู้จะทำอะไรดี คนที่มีงานอดิเรกหรือมีกิจกรรมสังสรรค์อยู่บ้างคงไม่มีปัญหาเท่าไร แต่คนส่วนใหญ่คงจะรู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้าง เบื่อหน่าย หรือกลายเป็นคนขี้หงุดหงิดโดยไม่รู้สาเหตุ เพราะนอกจากรูปแบบการใช้ชีวิตจะเปลี่ยนไปแล้ว ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ การเงิน ความสัมพันธ์กับลูกหลานในบ้าน รวมถึงความรู้สึกมั่นคงในอนาคต ที่ล้วนมีผลให้ไม่อาจใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างสบาย ๆ ไร้กังวลอย่างที่คิดไว้แต่แรกได้
การจะทำให้ช่วงเวลาหลังเกษียณอีก 10 ปี 20 ปีข้างหน้ามีแต่ความสุขกายสบายใจนั้น เป็นเรื่องที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวต้องเรียนรู้ร่วมกัน
การเรียนรู้นั้น ควรศึกษาจากผู้มีประสบการณ์มาก่อน อย่างคำแนะนำในหนังสือ “รอให้ถึงเกษียณ ก็สายเสียแล้ว” เล่มนี้
“รอให้ถึงเกษียณ ก็สายเสียแล้ว” เขียนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น นำประสบการณ์ตรงทั้งจากการเป็นแพทย์และเป็นผู้สูงอายุ มาบอกเล่าให้รู้ทุกแง่มุม ทั้งสภาพร่ายกาย อารมณ์ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป รวมถึงสถานการณ์และปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุวัยเกษียณ เพื่อให้เห็นภาพในอนาคตชัดเจน จะได้ตั้งหลักและเตรียมรับมือได้ถูกต้อง
นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำที่เป็นรูปธรรมสำหรับผู้สูงอายุว่าแบบแผนการดำเนินชีวิตต่อจากนี้ควรเป็นอย่างไร มีอะไรบ้างที่ต้องจัดการและเตรียมการ รวมถึงแนะวิธีประมาณการรายรับ-รายจ่ายและวางแผนเรื่องการเงิน
ส่วนลูกหลานเอง เมื่ออ่านเล่มนี้แล้วจะเข้าอกเข้าใจผู้สูงอายุมากขึ้น รู้วิธีปฏิบัติตัวและการดูแลเอาใจใส่ท่านอย่างเหมาะสม ความอึดอัดหนักใจและเรื่องกระทบกระทั่งที่เคยเกิดขึ้นในบ้านจะลดลง ทุกคนก็อยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น
ขอยกตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นแทบทุกบ้านอย่างการไหว้วานให้คุณตาคุณยายวัยเกษียณช่วยเลี้ยงหลาน ดูเผิน ๆ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ลูกหลานส่วนใหญ่มองว่าให้อยู่กับเด็ก ๆ ท่านจะได้ไม่เหงา แถมยังช่วยแบ่งเบาภาระได้มาก ฝั่งผู้สูงอายุเองก็เต็มใจ รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ กลับกลายเป็นว่าผู้สูงอายุมีหน้าที่รับเลี้ยงเด็กแบบเต็มเวลา แม้ท่านจะมีประสบการณ์และความชำนาญก็จริง แต่อย่าลืมว่าวัยนี้สภาพร่างกายต้องการการพักผ่อนมากขึ้น จะให้วิ่งไล่ตามหรือเล่นกับหลานทั้งวันคงไม่ไหว
อีกอย่างท่านอาจอยากออกไปเที่ยวหรือมีเวลาพบปะเพื่อนฝูงบ้างก็เกรงใจไม่กล้าบอก ดังนั้นการมอบหน้าที่ให้เลี้ยงดูหลานถือว่าเป็นภาระที่มากเกินไป ควรเป็นการฝากฝังให้ช่วยดูแลเป็นครั้งคราวจะดีกว่า
และอีกปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ คือ ปู่ย่าตายายส่วนใหญ่จะตามใจหลาน อยากได้อะไรก็หาให้หมดจึงถูกต่อว่าว่าทำให้เด็กเสียนิสัย หรือไม่ตัวพ่อแม่ก็อยากจะอบรมเลี้ยงดูลูกในแบบของตัวเอง แต่ฝั่งปู่ย่าตายายก็คอยกำกับให้ต้องทำแบบนั้นแบบนี้จนดูเหมือนก้าวก่ายมากเกินไป สุดท้ายอาจจะมีใครพลั้งปากพูดจาให้ช้ำใจหรือผิดใจกันก็มี เรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ก็มีคำแนะนำและทางออกที่พอดี ๆ สำหรับทั้งสองฝ่ายด้วยเช่นกัน
และหนังสือสือ “รอให้ถึงเกษียณ ก็สายเสียแล้ว” เล่มนี้ยังพูดอย่างตรงไปตรงมา เรื่องต่าง ๆ เช่น
· ความต้องการที่แท้จริงของผู้สูงอายุ (ถ้าลูกหลานรักและเป็นห่วงญาติผู้ใหญ่ ต้องอ่านเพื่อทำความเข้าใจ)
· ความคิด ความรู้สึกของสามีภรรยาในวัยเกษียณที่ต้องอยู่ร่วมกันตลอด 24 ชั่วโมง (จะปรับตัวให้ไม่เป็นภาระของอีกฝ่ายได้อย่างไร)
· การคบหาเป็นเพื่อนระหว่างผู้สูงอายุด้วยกันอย่างราบรื่น
· การป้องกันการถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ
· การดูแลจิตใจของผู้สูงอายุให้ไม่เป็นโรคซึมเศร้า
· การจัดการความกังวลด้านการเสื่อมถอยของร่างกายและด้านการเงิน
· การสร้างจุดมุ่งหมายในชีวิตให้ลืมเรื่องความแก่
อย่ารอให้แตะเลข 5 เฉียดเลข 6 จึงเริ่มคิดวางแผน เพราะถึงเวลานั้นอาจปรับตัวปรับใจไม่ทัน “รอให้ถึงเกษียณ ก็สายเสียแล้ว” จะเป็นคู่มือที่ช่วยประคับประคองให้ความฝันของการใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสดใส มีคุณค่า และสมดุลทั้งกายใจเป็นเรื่องจริงได้ ยิ่งเตรียมตัวเร็วเท่าไรก็ยิ่งได้เปรียบเท่านั้น อย่ารอให้ถึงเกษียณ ก็สายเสียแล้ว
ข้อมูลหนังสือ
รายละเอียด :
ผู้แต่ง : Takashi HOSAKA
ผู้แปล : ดร.บัณฑิต โรจน์อารยานนท์
ISBN : 978-974-443-535-4
จำนวนหน้า : 272 หน้า
ราคา : 200 บาท
ปีที่พิมพ์ : 2556
สั่งซื้อได้ที่ tpabook.com/product/รอให้ถึงเกษียณก็สาย