การมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ตัวเองคิดโดยไม่ยอมแพ้แรงกดดันจากภายนอกคือเคล็ดลับเพื่อชัยชนะในระยะยาว
ก้าวแรกของชีวิต เราทุกคนต่างก็คลอดจากท้องแม่ ส่งเสียงร้องอุแว้ ๆ เหมือนกัน ไม่ว่าเกิดในสภาพแวดล้อมอย่างไร วินาทีที่เราลืมตาดูโลก พวกเราทุกคนต่างก็ยืนที่จุดเริ่มต้นจุดเดียวกัน
ทว่าเมื่อดำเนินชีวิตผ่านไปหลายสิบปี กลับมีชีวิตที่แตกต่างกันมาก บางคนได้รับการทาบทามจากหลายบริษัท ขณะที่บางคนตกงาน หางานทำไม่ได้ บางคนทำงานอย่างมีความสุขและเพลิดเพลิน ขณะที่บางคนแค่คิดว่าต้องไปทำงานก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่สบายเสียแล้ว ความแตกต่างที่ว่านี้เกิดจากอะไร ?
เล่าเรื่องหนังสือครั้งนี้ ขอแนะนำหนังสือที่จะช่วยตอบคำถามนี้ได้ให้ลองอ่านกัน นั่นคือ “ความสำเร็จสร้างได้ด้วยสมาธิ” โดยโทโยชิ นางาตะ ซึ่งมีประสบการณ์การทำงานด้าน content business, e-marketing, web service และการเพิ่มผลิตภาพ “ทางปัญญา” จุดเริ่มของหนังสือเล่มนี้มาจากผู้เขียนค้นพบว่าคนระดับท็อป 1% ในสาขาอาชีพต่าง ๆ ประสบความสำเร็จได้ เพราะพวกเขาจดจ่อ ทุ่มเททำสิ่งที่รักด้วย “พลังแห่งสมาธิ” จนบรรลุเป้าหมายระยะยาวของตนเองได้ โดยไม่ยอมแพ้แรงกดดันจากภายนอกหรืออุปสรรคต่าง ๆ
ต่อให้เป็นนักธุรกิจที่มีความสามารถด้านการคิดเชิงตรรกะก็ยากจะหาวิธีการแก้ปัญหาที่ดีสุดได้ หากไม่มีสมาธิจดจ่อกับปัญหา หรือแม้แต่ศิลปินที่มีความคิดสร้างสรรค์จนเป็นที่อิจฉาของใครต่อใคร หากไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่กำลังทำ และแสดงความสามารถที่มีทั้งหมดก็ไม่สามารถผลิตผลงานที่ดีได้
ขณะที่นักเบสบอลมืออาชีพยืนเตรียมพร้อมเพื่อรอตีลูก เซียนหมากรุกกำลังจะดวลหมากรุก นักปีนเขากำลังปีนเขา นักไวโอลินกำลังจะสีไวโอลินระหว่างการแข่งขัน นักพัฒนาผลิตภัณฑ์กำลังออกแบบตัวอย่างสินค้า เสียงอึกทึกรอบข้าง ความวิตกกังวลส่วนตัว ทุกสิ่งทุกอย่างจะมลายหายไปหมดสิ้น สมาธิทั้งหมดจะมุ่งไปที่สิ่งที่กำลังทำอยู่ในเวลานั้นเท่านั้น และทำสิ่งนั้นอย่างเพลิดเพลิน
เมื่อมีสมาธิจดจ่อ เราจึงใช้พลังความคิดได้ 100% และเมื่อรู้สึกว่าตัวเอง “ควบคุมสติของตัวเองทั้งหมดได้” ก็จะมีความสุขอย่างที่สุด
กล่าวได้ว่าพื้นฐานที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เราแสดงพลังความสามารถที่มีได้ก็คือ “พลังแห่งสมาธิ” นั่นเอง
ในหนังสือเรื่อง “ความสำเร็จสร้างได้ด้วยสมาธิ” จึงแนะนำวิธีปฏิบัติเพื่อฝึกฝนและพัฒนา “สมาธิ” เพื่อให้ใช้พลังความคิดได้ 100% บอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตของผู้ประสบความสำเร็จระดับโลก เช่น แลร์รี เพจและเซอร์เกย์ บริน ผู้ก่อตั้ง Google , เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon, สตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้ง Apple, ปีเตอร์ ดรักเกอร์ กูรูด้านการบริหารแห่งศตวรรษที่ 20, ชินยะ ยามานากะ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยา และกรณีตัวอย่างขององค์กรที่ประสบความสำเร็จในการสร้างกลไกเพื่อส่งเสริมสมาธิของคนทำงาน เช่น Google, 3M, P&G Japan ตัวอย่างวิธีปฏิบัติจากหนังสือเล่มนี้ เช่น
· ควรทำทีละเรื่อง ถ้าเราทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน จะไม่สามารถจดจ่ออยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ และไม่เกิดประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ ทุกอย่างเป็นไปอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่มีอะไรสมบูรณ์สักอย่าง จึงจำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสมาธิให้จดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยพยายามเก็บสิ่งของที่ไม่จำเป็นให้พ้นจากสายตา ไม่วางสิ่งของต่าง ๆ เหล่านั้นไว้บนโต๊ะทำงานหรือรอบตัว
· แบ่งเวลาเป็นหน่วยย่อย ๆ ที่ตัวเองจะมีสมาธิจดจ่อได้ง่าย ไม่ต้องพยายามเพ่งสมาธิจดจ่อตลอดเวลาทำงาน 8 ชั่วโมงใน 1 วัน และเมื่อรู้แล้วว่าระยะเวลาที่เรามีสมาธิยาวแค่ไหน จึงแบ่งเวลางานเป็นช่วง ๆ จากนั้นปรับสมดุลระหว่างช่วงเวลาที่มีสมาธิกับช่วงเวลาพัก โดยทั่วไป คนเรามีสมาธิจดจ่ออย่างแน่วแน่ที่สุดได้ประมาณ15 นาที และมีสมาธิจดจ่อต่อเนื่องได้นานที่สุดประมาณ 90 นาที และที่สำคัญ ในการทำงาน ลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นผู้ฟังการนำเสนอหรือรายงานของเราก็มีขีดจำกัดของสมาธิประมาณ 15 นาทีเช่นกัน ฉะนั้นควรคิดเนื้อหารายงานให้เหมาะสมด้วย
· รักษาสุขภาพให้สมบูรณ์อยู่เสมอ เรื่องสำคัญที่หลายคนอาจมองข้ามคือเรื่องสุขภาพร่างกาย ในการแข่งขันเพื่อเอาชนะคู่แข่งหรือการทำงานให้สำเร็จลุล่วง ถ้าเราเป็นหวัดหรือสภาพร่างกายย่ำแย่ ก็จะไม่สามารถแสดงฝีมือโชว์ผลงานที่ดีที่สุดได้
ตัวอย่างข้างต้นนี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ในหนังสือ “ความสำเร็จสร้างได้ด้วยสมาธิ” ยังมีคำแนะนำเกี่ยวกับการพัฒนาสมาธิอีกหลายเรื่อง จึงเหมาะสำหรับคนทำงานและผู้นำในองค์กร เพื่อพัฒนาสู่ความสำเร็จในการงานและชีวิตส่วนตัว รวมถึงพ่อแม่ใช้ปลูกฝังสมาธิให้ลูกตั้งแต่ปฐมวัย
ทดลองอ่าน
ความสำเร็จสร้างได้ด้วยสมาธิ
หมวดจิตวิทยา-พัฒนาตนเอง
ผู้แต่ง : Toyoshi Nagata
ผู้แปล : ดร.ศิริลักษณ์ ศิริมาจันทร์
ISBN : 978-974-443-623-8
จำนวนหน้า : 216 หน้า
ราคา : 200 บาท
