hmong2x

ผู้เขียน : hmong2x

อัพเดท: 23 ก.พ. 2010 10.38 น. บทความนี้มีผู้ชม: 21807 ครั้ง

มีหลายแห่งที่ที่มีการดำรงชีวิตที่ต่างออกไป มีหลายชีวิตที่มีวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น ลองกว้าออกไปสัมผัส เรียนรู้ เปิดตาและเปิดใจ โลกใบที่เราเกิดมานี้ ยังมีสิ่งให้ค้นหาอีกมากมายนักแล


สัมผัส“สวิส”ใกล้แค่เอื้อม ที่ “สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย”

สัมผัส“สวิส”ใกล้แค่เอื้อม ที่ “สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย” 
 
  ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นดินแดนท่องเที่ยวที่หลายๆ คนใฝ่ฝันไว้ว่าสักวันจะต้องไปสัมผัสให้จงได้ ด้วยความงดงามของภูมิประเทศที่ประกอบไปด้วย ภูเขา หิมะ ป่าไม้ และทุ่งหญ้า ทำให้เกิดเป็นทิวทัศน์ที่งดงาม อากาศหนาวเย็นแต่สะอาดบริสุทธิ์ บ้านเมืองเป็นระเบียบ แต่การจะเดินทางไปก็ต้องมีค่าใช้จ่ายอยู่ไม่น้อย ดังนั้น “ผู้จัดการปริทรรศน์” จึงมีตัวเลือกมาเสนอผู้ที่อยากสัมผัสบรรยากาศแบบสวิส แต่ไม่มีทุนทรัพย์พอจะเดินทางไปถึงได้ ด้วยการท่องเที่ยวที่ “สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย” แทน
       
       “ชมทะเลหมอกที่ เขาค้อ-น้ำหนาว”
       
       หากใส่คำว่า “สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย” เข้าไปในช่องคำค้นหาของ google.com ผลลัพธ์หลายร้อยเว็บไซต์ที่ได้ออกมานั้นก็มีหลากหลายสถานที่ด้วยกัน แต่ผลที่จะออกมาเป็นอันดับแรก และเป็นผลลัพธ์ที่ถูกค้นเจอมากที่สุดก็คือ “เขาค้อ” หรืออุทยานแห่งชาติเขาค้อ ในจังหวัดเพชรบูรณ์
       
       ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาน้อยใหญ่ทอดยาวสลับซับซ้อนที่เรียกได้ว่าเป็น “ทะเลภูเขา” อีกทั้งยังตั้งอยู่บนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตร อากาศบนเขาค้อจึงเย็นสบายตลอดปี หน้าร้อนก็ไม่ร้อน หน้าฝนอากาศเย็นสบาย และหน้าหนาวมีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส จึงไม่แปลกที่มีคนมอบสมญา “สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย” ให้
       
       ก่อนหน้านี้ “เขาค้อ” เป็นที่รู้จักกันในแง่ของการเป็นแหล่งประวัติศาสตร์สมรภูมิการสู้รบอันยาวนานระหว่างผู้ที่มีแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน ก่อนจะสงบลงจนมาถึงปัจจุบัน และเมื่อได้รับการพัฒนาพื้นที่สมรภูมิรบให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ความสวยงามของเขาค้อก็โดดเด่นขึ้น เพราะที่อุทยานแห่งชาติเขาค้อนี้มีทั้งน้ำตก เช่น น้ำตกศรีดิษฐ์ ซึ่งเป็นน้ำตกชั้นเดียวขนาดใหญ่ มีน้ำไหลผ่านหน้าผาหินกว้าง มีถ้ำ หน้าผา และจุดชมทิวทัศน์สวยๆ มากมาย
       
       และนอกจากนักท่องเที่ยวจะได้ชมธรรมชาติอันสวยงามบนเขาค้อแล้ว ก็ยังจะได้ชมอนุสรณ์ต่างๆ ที่มีผู้สร้างไว้เพื่อระลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตไปในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย เช่น “อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ” ที่สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของผู้พลีชีพเหล่านั้น และก็ยังมีฐานจำลองการสู้รบ ซึ่งมีหลุมหลบภัย มีกระสอบทรายบังเกอร์จำลองไว้ให้ดูกัน
       
       นอกจากนั้นก็ยังมีพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก ซึ่งภายในยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา ชาวเพชรบูรณ์ร่วมใจกันสร้างถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ 50 ปี อีกด้วย
       
       ในช่วงหน้าหนาวนี้ ก็เชื่อว่าคงมีหลายคนที่กำลังจะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าไปเที่ยวเขาค้อ “สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย” กันมากมายอีกเช่นเคย
       
       ส่วนสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากเขาค้อเท่าไหร่ ก็คืออำเภอน้ำหนาว จ.เพชรบูณ์ ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ ที่หลายๆคนยกให้เป็นหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย
       
       สำหรับพื้นที่น้ำหนาว มี “อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว” เป็นไฮไลท์ อุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาเพชรบูรณ์ตอนบนที่มีลักษณะเป็นภูเขาสลับซับซ้อน เป็นทิวเขาสูงที่มีอากาศหนาวเย็นปกคลุมตลอดปี และมีป่าที่อุดมสมบูรณ์อยู่มาก
       
       อุทยานแห่งชาติน้ำหนาวนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของแม่น้ำหลายสายอย่างแม่น้ำป่าสัก แม่น้ำพอง แม่น้ำเลย มีอากาศจึงเย็นตลอดปี และหนาวจัดในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม
       
       สำหรับต้นไม้ในแถบป่าแห่งนี้ที่โดดเด่นก็คือป่าสน เช่นที่บริเวณสวนสนภูกุ้มข้าว ซึ่งมีต้นสนสามใบขึ้นต่อเป็นลานกว้างท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวสด “สวนสนดงแปก” ตั้งอยู่ไม่ไกลจากภูกุ่มข้าวมีต้นสนสองใบขึ้นอยู่รวมกันอย่างหนาแน่นผสมผสานกับสนสามใน ต่อเนื่องกับป่าดิบแน่นทึบ หรือจะชม “มหัศจรรย์ป่าเปลี่ยนสี” ในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม ผืนป่าบริเวณนี้ซึ่งเป็นป่าผสมผลัดใบที่ภูหลังกงเกวียนก็จะผลัดใบจากสีเขียวกลายเป็นสีเหลือง ส้ม แดง สดใส เกิดเป็นป่าเปลี่ยนสีที่สวยงามน่าชม
       
       “ภูเรือ-วังน้ำเขียว สวิสฯ แดนอีสาน”
       
       บนยอดภูสูงที่มีชื่อว่า “ภูเรือ” เป็นจุดที่ถือว่า “สุดหนาวในสยาม” และได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยอีกแห่งหนึ่ง
       
       พื้นที่ป่าของอุทยานแห่งชาติภูเรือประกอบไปด้วยทิวเขาสูงสลับกับที่ราบเป็นบางส่วนดูซับซ้อน เหตุที่เรียกพื้นที่ตรงนี้ว่าภูเรือ ก็เพราะรูปพรรณสัณฐานของภูลูกหนึ่งที่มีชะง่อนผายื่นออกมาดูคล้ายเรือสำเภา และที่ราบบนยอดเขาก็มีลักษณะคล้ายท้องเรือ โดยในช่วงหน้าหนาวนี้บนอุทยานฯ มีหลายสิ่งที่น่าไปสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นความหนาวเย็นเหนือหุบเขากลางทะเลเมฆหมอกที่ยอดภูเรือที่เขียวขจี หรือจะเป็นการชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาโหล่นน้อย ที่สามารถมองไปไกลเห็นภูหลวง ภูผาสาด ภูครั่ง และทะเลภูเขาที่วางตัวพาดสลับซับซ้อนสวยงาม
       
       บนยอดภูเรือ ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเขตอุทยานฯ นั้น ก็สวยงามด้วยป่าสนเขา ทั้งสนสองใบและสนสามใบที่ขึ้นสลับกับลานหินธรรมชาติ และมีทัศนียภาพที่สวยงาม ถ้าอากาศแจ่มใสก็จะสามารถมองไปไกลเห็นแม่น้ำเหืองและแม่น้ำโขงที่กั้นเป็นพรมแดนไทย-ลาวได้ด้วย
       
       ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็นในฤดูหนาวและเย็นสบายตลอดปี ทำให้ภูเรือสามารถปลูกไม้ดอกเมืองหนาวได้สวยงามหลากหลายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น คริสต์มาส ไฮเดรนเยีย พิทูเนีย ฯลฯ จนอำเภอภูเรือได้ชื่อว่าเป็นอำเภอ “ดอกไม้งามสามฤดู” ซึ่งในขณะนี้ทางอำเภอภูเรือก็กำลังจัดงาน “ไม้ดอกเมืองหนาวภูเรือ ครั้งที่ 14” ขึ้น ในวันที่ 30 ธันวาคม-2 มกราคมนี้ ใครที่อยากมาสัมผัสอากาศหนาวและชะมดอกไม้สวยๆ ก็เชิญได้ที่นี่
       
       นอกจากนั้นแล้ว เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสวิตเซอร์แลนด์ก็คือ การเป็นประเทศที่มีอากาศบริสุทธิ์สะอาด เช่นเดียวกับ “อำเภอวังน้ำเขียว” ในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่มีอากาศสดชื่นและสะอาดมากที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะมีปริมาณโอโซนสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก และทางสถานีวิจัยเขาสะแกราช แหล่งสงวนชีวมณฑลในอำเภอวังน้ำเขียว ยังได้พบเฟิร์นชนิดหนึ่งซึ่งจะขึ้นเฉพาะบริเวณพื้นที่ที่มีโอโซนในระดับสูงเท่านั้น
       
       ชื่อ “วังน้ำเขียว” ได้มาจากลักษณะภูมิประเทศของที่นี่ เพราะพื้นที่แถบนี้จะมีวังน้ำที่ใสจนมองเห็นเงาสะท้อนสีเขียวของต้นไม้ สภาพภูมิประเทศของอำเภอวังน้ำเขียวนั้น ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงพื้นที่ลาดชัน เป็นแหล่งชมสัตว์ป่าหายาก เช่น กระทิงฝูงสุดท้ายที่เขาแผงม้า พญากระรอกสีดำที่สถานีวิจัยเขาสะแกราช รวมทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย
       
       นอกจากนั้นอากาศที่นี่ก็ยังเย็นสบายเกือบทั้งปี ฤดูหนาวของวังน้ำเขียวเริ่มต้นประมาณเดือนพฤศจิกายน-มกราคม อุณหภูมิประมาณ 10-20 องศา ส่วนหน้าฝนมีฝนตกชุก และหลังฝนตกส่วนใหญ่จะมีหมอกพัดมาเป็นสาย จนเหมือนอยู่ในทะเลหมอกเลยทีเดียว
       
       ทั้งหมดนี้ทำให้อำเภอวังน้ำเขียวถือเป็นสถานที่ที่น่าอยู่และเหมาะแก่การมาท่องเที่ยวอย่างยิ่ง จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน”
       
       “สัมผัสอากาศหนาวที่ อ่างขาง-ปางอุ๋ง”
       
       “โครงการหลวงอ่างขาง” ในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อในเรื่องความสวยงามของต้นไม้ดอกไม้ รวมทั้งอากาศที่เย็นสบายตลอดปี จนถึงกับหนาวจัดในฤดูหนาว บางปีหนาวจัดจนเกิดน้ำค้างแข็งบนใบหญ้าให้ได้ชมกันด้วย
       
       ในส่วนของพื้นที่ดอยอ่างขางที่ได้รับยกย่องว่าสวยเหมือนสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยนั้นก็คือบริเวณ “สวนแปดสิบ” ซึ่งเป็นสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้น้อยใหญ่ที่จัดสวนประดับลดหลั่นกันไปตามไหล่เขา และหากมองผ่านมวลดอกไม้เหนือสวนขึ้นไปก็จะเห็นที่ประทับของพระราชินีซึ่งเป็นเรือนไม้แบบสวิสเซอร์แลนด์ตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางดอกไม้หลากสี แถมยังมีฉากหลังเป็นหุบเขากว้างไกล ได้บรรยากาศเป็นสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยจริงๆ
       
       ไม่ใช่เพียงแค่สวนแปดสิบเท่านั้น แต่ภายในสถานีเกษตรหลวงอ่างขางก็ยังมีจุดที่น่าสนใจอีกหลายจุดด้วยกัน เช่น อาคารแปลงกุหลาบ มีกุหลาบหลากสีหลายพันธุ์ ทั้งดอกเล็กดอกใหญ่ อาคารไม้ดอกเมืองหนาว ภายในตกแต่งเป็นภูมิทัศน์ที่สวยงาม มีน้ำตกจำลองสร้างบรรยากาศแบบธรรมชาติ มีไม้ดอกและแปลงผลไม้เมืองหนาว เช่น สาลี่ บ๊วย กีวี พลัม พีช ฯลฯ และด้านนอกก็มีสวนหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น สวนรับเสด็จ สวนหอม สวนกุหลาบอังกฤษ ที่ล้วนแล้วแต่สวยงามน่ายลทั้งสิ้น
       
       และในจังหวัดที่มีพื้นที่ติดกันกับเชียงใหม่อย่างจังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเมืองสามหมอก มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามมากมายและเป็นจุดมุ่งหมายของหลายๆ คนทุกๆ ฤดูหนาว กว่าพันโค้งที่จะได้เจอในเส้นทางไปสู่จังหวัดแห่งนี้ ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้นักเดินทางย่อท้อ เพราะความงดงามของธรรมชาติของจังหวัดแม่ฮ่องสอนนี้ไม่เป็นรองใครเลย
       
       จากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนห่างไป 40 กว่ากิโลเมตร ก็เป็นที่ตั้งของ “โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง)” ซึ่งอยู่ในพระบรมราชินูปถัมภ์ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ซึ่งนอกจะมีทิวทัศน์สวยงามเรียกว่าเป็นสวิตเซอร์เเลนด์เมืองไทยแล้ว ก็ยังเป็นนิวซีแลนด์เมืองไทยอีกด้วย เรียกว่ามีความสวยงามยกกำลังสองเลยทีเดียว
       
       ที่ว่าเป็นนิวซีแลนด์เมืองไทย เพราะภายในโครงการพระราชดำริฯ นี้มีการเลี้ยงแกะเพื่อนำขนมาใช้ประโยชน์ ดังนั้นจึงมีภาพฝูงแกะกินหญ้าอยู่ในท้องทุ่งราวกับอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์ นอกจากนั้น ภายในปางอุ๋งซึ่งมีลักษณะพื้นที่เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่บนยอดเขาสูง เป็นทะเลสาบที่อยู่บนความสูง 1,000 กว่าเมตร และริมอ่างเก็บน้ำเป็นแนวต้นสนสองใบและสนสามใบที่ปลูกเรียงรายอยู่ โดยเฉพาะในเวลาเช้าที่พระอาทิตย์ส่องแสงผ่านหมอกเหนืออ่างเก็บน้ำ ส่องผ่านต้นสนหลายร้อยต้นเกิดเป็นแสงเงาที่สวยงามน่าประทับใจจนหลายคนร้องว่า นี่แหละ สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย       
       นอกจากนั้นก็ยังมีหมู่บ้านรวมไทย หมู่บ้านชาวจีนฮ่อที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกัน ก็ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพักด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น ชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกกาแฟอราบิก้าไว้ขายเป็นรายได้ของครอบครัว ถ้าได้มาจิบกาแฟสดหอมกรุ่นในอากาศหนาวๆ พร้อมกับชมบรรยากาศของสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยของที่นี่ไปพร้อมๆ กัน คงจะเป็นความประทับใจไม่รู้ลืมแน่นอน

       ทัศนะนักเดินทางต่อ “สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย”
       
       วินิจ รังผึ้ง นักเดินทางและนักเขียนจากนิตยสาร อสท. ให้ความเห็นกับคำว่า “สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย” ว่า การเปรียบเทียบเช่นนี้น่าจะเป็นการเปรียบแบบเชิญชวนของเจ้าของสถานที่นั้นๆ มากกว่า คือพื้นที่ส่วนไหนที่มีภูเขาสูงๆ ต่ำๆ สลับซับซ้อน โล่งสายตา มีอากาศหนาวเย็น อากาศดีตลอดปี ก็มักจะเปรียบเทียบว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย โดยที่คนบางส่วนก็อาจจะเห็นด้วยว่าเข้าใจง่ายและเห็นภาพ เมื่อบอกว่าเป็นสวิสฯ เมืองไทยก็นึกออกว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร       
       แต่สำหรับตัววินิจเองนั้น ไม่เห็นด้วยกับการเปรียบเทียบแบบนี้เท่าไรนัก “สวิตเซอร์แลนด์ก็เป็นสวิตเซอร์แลนด์ เมืองไทยก็เป็นเมืองไทย และนอกจากการเปรียบเป็นสวิตเซอร์แลนด์แล้วก็ยังเปรียบเป็น กุ้ยหลินเมืองไทย คุนหมิงเมืองไทย แกรนด์แคนยอนเมืองไทย ซึ่งตรงนี้ก็ไม่น่าจะนำมาเปรียบเช่นกัน เพราะความยิ่งใหญ่คงเปรียบเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว และในบางพื้นที่ก็เป็นการเปรียบที่เกินความจริงไปมาก คนที่เขาเคยไปเห็นสถานที่จริง หรือคนในพื้นที่เหล่านั้นจริงๆ เขาได้ยินเข้าก็อาจจะหัวเราะเอาได้” วินิจ กล่าว
       
       ตามความเห็นของวินิจแล้ว เห็นว่าแหล่งท่องเที่ยวแต่ละแห่งต่างก็มีความสวยงามและมีลักษณะเฉพาะของตัวเองที่โดดเด่นอยู่แล้ว จึงควรจะเน้นจุดเด่นตรงนั้นมากกว่า เช่นการตั้งชื่อเก๋ๆ แบบไทยๆ ให้ดึงดูด เพื่อจะได้มีความเป็นเอกลักษณ์ และดังขึ้นมาได้ด้วยตัวของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องไปอิงกับอย่างอื่น อย่างเช่น ถ้ำแก้วโกมลของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ด้านในเป็นผลึกหินแคลไซต์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นถ้ำน้ำแข็งของเมืองไทย เป็นการตั้งชื่อที่เห็นภาพ และแหล่งท่องเที่ยวนั้นก็สามารถดังขึ้นมาได้โดยที่ไม่ต้องไปเปรียบกับถ้ำของอิตาลีหรือประเทศอื่นๆ       
       “อีกอย่างหนึ่งคือ ควรจะให้คนที่เคยไปเห็นมาแล้วพูดเองดีกว่า เช่นสมัยก่อนนี้ที่มีชาวต่างชาติเปรียบว่ากรุงเทพฯ เหมือนกับเวนิสตะวันออก คิดว่าตรงนั้นมันเป็นคำเปรียบเทียบที่น่าภูมิใจมากกว่า คือควรจะให้คนที่เคยได้ไปเห็นมาเป็นคนพูด ไม่ใช่ไปตั้งกันเอง เพราะบางทีแม้แต่คนตั้งก็ยังไม่เคยไปสวิสฯ เลย” วินิจ กล่าว
       
       สอดคล้องกับนิรันดร์ เยาวภา เว็บมาสเตอร์ผู้จัดการออนไลน์(www.manager.co.th) ซึ่งเคยผ่านประสบการณ์การไปท่องเที่ยวยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์มาแล้ว ให้ความเห็นว่า ถ้าเปรียบสวิตเซอร์แลนด์ของจริงกับสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยเช่นที่เขาค้อ ก็เรียกว่าไม่เหมือนกันเสียทีเดียว อาจจะเหมือนบ้างในเรื่องของภูมิประเทศที่เป็นภูเขา และอากาศที่ค่อนข้างเย็น แต่ถ้าถามจริงๆ แล้วก็ไม่เหมือนกัน เพราะประเทศเราเป็นเขตร้อน ประเทศเขาเป็นเขตหนาว ต้นไม้ก็แตกต่างกัน กิจกรรมการท่องเที่ยวก็ไม่เหมือนกัน ของเขาเล่นสกี และมีสาธารณูปโภคดีพร้อมกว่าเยอะ
       
       “จริงๆ แล้วมันเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ และไม่จำเป็นต้องมาเปรียบ เพราะการเปรียบนั้นก็เพียงเพื่อให้เห็นภาพ และเพื่อใช้เป็นจุดขายของแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น แต่พอถึงระดับหนึ่งเราก็ต้องมีจุดขายของเราเอง มีเอกลักษณ์ของเราเองจะดีกว่า” นิรันดร์ กล่าวทิ้งท้าย
 
โดย ผู้จัดการรายวัน 15 ธันวาคม 2549 09:33

บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที