การเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงแต่จะต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมและมีคะแนนสอบ SAT ที่ผ่านเกณฑ์การสมัคร โดยข้อสอบ SAT เป็นข้อสอบมาตรฐานสากล แบ่งออกเป็นข้อสอบ SAT Eng และข้อสอบ SAT Math เพื่อประเมินความพร้อมของนักเรียน และที่สำคัญผลคะแนน SAT นั้นเป็นที่ยอมรับจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก
ข้อสอบ SAT คือ ข้อสอบที่ใช้วัดความถนัดทางด้านภาษาอังกฤษและวิชาคณิตศาสตร์ เพื่อประเมินความพร้อมสำหรับการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา โดยข้อสอบ SAT หรือ Digital SAT แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
Digital SAT Reading and Writing เป็นส่วนหนึ่งของข้อสอบ SAT รูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแทนการใช้กระดาษและดินสอ เนื้อหาของข้อสอบจะวัดทักษะการอ่าน การเขียน และไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีรูปแบบการสอบเป็น 2 ส่วน ได้แก่
เนื้อหาของข้อสอบ SAT Eng ในส่วนของ Reading ได้แก่ วรรณกรรม, ประวัติศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ส่วน Writing and Language จะเน้นการเขียนประโยค, การใช้เครื่องหมายวรรคตอน, การใช้คำศัพท์ และไวยากรณ์ โดยคะแนนสอบ Digital SAT Reading and Writing คิดเป็นคะแนนดิบจาก 200 - 800 คะแนน มีคะแนนเต็มทั้งหมด 600 - 2400 คะแนน
Digital SAT Math เป็นส่วนหนึ่งของข้อสอบ SAT รูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแทนการใช้กระดาษและดินสอ เนื้อหาของข้อสอบ SAT Math ได้แก่ พีชคณิต, เรขาคณิต, สถิติ และความน่าจะเป็น ใช้เวลาสอบ 80 นาที คำถามเป็นแบบปรนัย 5 ตัวเลือก และคิดเป็นคะแนนดิบจาก 200 - 800 คะแนน เช่นเดียวกับข้อสอบ SAT Eng
ข้อสอบ SAT Subject Tests หรือ SAT II เป็นการสอบวัดความรู้เชิงลึกในวิชาเฉพาะทาง ใช้สำหรับการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย เป็นข้อสอบที่ได้มาตรฐานสากล ซึ่งมหาวิทยาลัยในต่างประเทศและบางแห่งในประเทศไทยนิยมนำคะแนน SAT Subject Tests ไปประกอบการพิจารณารับนักศึกษาเข้าเรียนในหลักสูตรนานาชาติ เช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์, คณะแพทยศาสตร์ หรือคณะวิทยาศาสตร์
โดยข้อสอบ SAT Subject Tests มีวิชาให้เลือกสอบมากกว่า 20 วิชา แต่ละวิชาใช้เวลาสอบ 60 นาที จะมีลักษณะคำถามเป็นแบบปรนัย 5 ตัวเลือก และอนุญาตให้ใช้เครื่องคิดเลขในบางวิชา สำหรับเนื้อหาของข้อสอบ SAT Subject Tests จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิชาที่เลือกสอบ เช่น
คะแนนสอบ SAT Subject Tests เต็ม 600 - 2400 คะแนน โดยนักเรียนสามารถสมัครสอบ SAT Subject Tests ผ่านเว็บไซต์ College Board ซึ่งจัดสอบปีละ 5 - 6 ครั้งในประเทศไทย ข้อดีของการสอบ SAT Subject Tests คือ ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำ และแสดงให้มหาวิทยาลัยเห็นว่านักเรียนมีความพร้อมสำหรับการเรียนในวิชาเฉพาะทาง
การสอบ SAT นั้น เป็นการสอบวัดระดับความถนัดทางภาษาและคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้นักเรียนทำคะแนนสอบได้ดีขึ้น โดยสามารถเตรียมตัวได้ตามขั้นตอน ดังนี้
นอกจากนี้ เพื่อให้ได้คะแนนสอบ SAT เป็นไปตามความต้องการ ควรเริ่มเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างน้อย 3 - 6 เดือน หมั่นฝึกฝนเป็นประจำ เรียนรู้จากจุดผิดพลาด คิดบวกและมั่นใจในตนเอง
เมื่อมีการทบทวน เรียนรู้ และฝึกฝนข้อสอบ SAT เก่า ๆ มาพอสมควรแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ คือ เทคนิคการทำข้อสอบ SAT ในห้องสอบ ดังนี้
1. ก่อนเข้าห้องสอบ
2. ระหว่างทำข้อสอบ
นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคเพิ่มเติมสำหรับการทำข้อสอบ SAT คือ
ข้อสอบ SAT คือ ข้อสอบมาตรฐานสากล ซึ่งใช้วัดความถนัดทางด้านภาษาอังกฤษและวิชาคณิตศาสตร์ เพื่อประเมินความพร้อมสำหรับการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ข้อสอบ SAT Eng และข้อสอบ SAT Math ซึ่งแต่ละส่วนมีรายละเอียดการสอบที่แตกต่างกัน ดังนั้น เพื่อให้ได้คะแนนตามที่ต้องการ จึงควรวางแผน เตรียมตัวให้พร้อม ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ และมีเทคนิคการสอบที่ถูกต้อง
โดยเทคนิคการสอบ SAT นี้ อาจจะศึกษาเพิ่มเติม หรือสมัครลงเรียนกับสถาบันสอนภาษาอังกฤษต่าง ๆ ซึ่งจัดคอร์สติวสอบ SAT โดยเฉพาะ ด้วยครูอาจารย์ชาวต่างประเทศผู้เชี่ยวชาญ มีเทคนิคการสอนหลากหลาย และเทคนิคการทำข้อสอบ SAT ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในห้องสอบ ส่งผลให้ได้คะแนนสอบสูงขึ้นอย่างที่ตั้งใจไว้ ย่อมช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำได้มากขึ้น
บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที