GIT Information Center

ผู้เขียน : GIT Information Center

อัพเดท: 04 ธ.ค. 2017 08.15 น. บทความนี้มีผู้ชม: 1682 ครั้ง

ปัจจัยที่จะทำให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลกภายในอีก 5 ปีข้างหน้า ติดตามบทความอื่นๆ ของศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับเพิ่มเติมได้ที่ http://infocenter.git.or.th


ไทยวางเป้าหมายสู่การเป็นฮับการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลกในอีก 5 ปีข้างหน้า

อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับเป็นอุตสาหกรรมศักยภาพที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย ก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเกือบ 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีการจ้างงานตลอดห่วงโซ่อุปทานถึง 800,000 คน ด้วยภูมิปัญญาการปรับปรุงคุณภาพพลอยสีให้มีความสวยงามเพิ่มขึ้น อีกทั้งช่างฝีมือเจียระไนอัญมณี รวมถึงช่างฝีมือผลิตเครื่องประดับมีทักษะความชำนาญเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ส่งผลให้ไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับใน 10 อันดับแรกของโลก ส่วนการค้าในประเทศเองก็คึกคักจากแรงซื้อของคนในประเทศและนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยปีละกว่า 30 ล้านคน รวมถึงนักธุรกิจต่างชาติจำนวนไม่น้อยที่เดินทางเข้ามาซื้ออัญมณีและเครื่องประดับในไทย คาดว่าจะมีมูลค่าการค้าในประเทศสูงเกือบเท่ากับมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม รัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์โดยวางเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลกภายในอีก 5 ปีข้างหน้า

สถานการณ์การค้า

สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยเป็นที่ยอมรับอย่างสูงในตลาดโลก และสินค้าส่วนใหญ่ที่ผลิตได้จะถูกส่งออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ ทั้งนี้ เนื่องด้วยทักษะฝีมือแรงงานของไทยมีความชำนาญสูงทั้งการเจียระไนอัญมณีและผลิตเครื่องประดับ อีกทั้งผู้ประกอบการไทยเองมีการพัฒนาศักยภาพการผลิต การตลาด ตลอดจนได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกใน 10 อันดับแรกของโลกเป็นครั้งแรกในปี 2559 (อันดับ 1 ของเอเชีย) และมีมูลค่าส่งออกกว่า 14,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ฮ่องกง สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น และอาเซียน เป็นต้น สินค้าส่งออกสำคัญอันดับแรกคือ ทองคำฯ รองลงมาได้แก่ เครื่องประดับแท้ทั้งเครื่องประดับเงิน (อันดับ 2 ของโลก) และเครื่องประดับทอง (อันดับ 13 ของโลก) พลอยสีทั้งพลอยเนื้อแข็งเจียระไน (อันดับ 4 ของโลก) และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน (อันดับ 2 ของโลก) ตามลำดับ

ส่วนการนำเข้านั้น เนื่องจากไทยขาดแคลนวัตถุดิบอัญมณีและโลหะมีค่า จึงจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ กึ่งวัตถุดิบ และโลหะมีค่าจากต่างประเทศ โดยสินค้านำเข้าหลัก ได้แก่ เพชร พลอยสี ทองคำ โลหะเงิน และแพลทินัม แหล่งนำเข้าสำคัญของไทย อาทิ สวิตเซอร์แลนด์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และประเทศในแถบแอฟริกา เป็นต้น

ด้านการค้าอัญมณีและเครื่องประดับภายในประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่ามีมูลค่าสูงไล่เลี่ยกับมูลค่าการส่งออก โดยมีผู้ประกอบการค้าปลีกและค้าส่งเครื่องประดับที่อยู่ในระบบกว่า 8,000 ราย และนอกระบบอีกหลายพันราย ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต เป็นต้น ส่วนกลุ่มผู้ซื้อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในประเทศ แบ่งเป็น 1) ชาวไทยที่มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่นิยมซื้อทองรูปพรรณ 96.5% และบางส่วนซึ่งเป็นผู้มีฐานะมั่งคั่งมักจะซื้อเพชร เครื่องประดับเพชร และทองคำแท่ง สำหรับเก็บสะสมเป็นสินทรัพย์และเก็งกำไรด้วย 2) ชาวต่างชาติที่มาทำงานและอาศัยอยู่ในเมืองไทย 3) นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยปีละกว่า 30 ล้านคน รวมถึงพ่อค้าชาวต่างชาติที่เดินทางมาซื้อสินค้าและหิ้วกลับไปจำหน่ายในประเทศตน และ 4) ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองติดชายแดนไทยเดินข้ามพรมแดนมาซื้อเครื่องประดับในฝั่งไทยโดยเฉพาะทองรูปพรรณ
 
สถานการณ์การผลิต
         
อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยเป็นอุตสาหกรรมครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ1 เป็นการผลิตเพื่อส่งออกร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 เป็นการจำหน่ายภายในประเทศ ปัจจุบันมีผู้ผลิตอัญมณีและเครื่องประดับที่จดทะเบียนอยู่ในระบบราว 2,200 ราย และอีกนับพันรายเป็นธุรกิจในครัวเรือน
           
สำหรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย จำแนกเป็น

1) อุตสาหกรรมเจียระไนพลอยสี ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน ใช้เครื่องมือเครื่องจักรผลิตอย่างง่ายไม่ซับซ้อน จึงใช้เงินลงทุนไม่สูงนัก และช่างฝีมือไทยมีทักษะและความชำนาญในการเจียระไนพลอยสีเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก รวมถึงผู้ประกอบการมีเทคนิคในการปรับปรุงคุณภาพพลอยสีด้วยการหุงหรือเผาพลอยด้วยความร้อน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของไทยที่ยังไม่มีประเทศใดสามารถทำได้ทัดเทียม ทั้งนี้ คาดว่ามีการจ้างงานในอุตสาหกรรมเจียระไนพลอยสีเกือบ 20,000 คน โดยผู้ประกอบการเจียระไนพลอยสีและช่างฝีมือส่วนมากจะกระจุกตัวอยู่ในจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าพลอยสีอย่างกรุงเทพฯ จันทบุรี และตาก

2) อุตสาหกรรมเจียระไนเพชร เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก เนื่องจากเครื่องมือที่ใช้ในการเจียระไนเพชรค่อนข้างซับซ้อน และใช้เทคโนโลยีสูง จึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ประกอบกับมีต้นทุนฝึกช่างเจียระไนใหม่ที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้อุตสาหกรรมเพชรเจียระไนไทยส่วนใหญ่เป็นของบริษัทต่างชาติที่ย้ายฐานการผลิตมาตั้งโรงงานในไทย อาทิ เบลเยียม อิสราเอล เป็นต้น เพื่ออาศัยแรงงานมีฝีมือของไทยแต่มีค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าในประเทศของตนมาก รวมถึงใช้สิทธิประโยชน์จากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ทั้งนี้ ปัจจุบันมีการจ้างงานช่างฝีมือเจียระไนเพชรกว่า 4,000 คน

3) อุตสาหกรรมผลิตเครื่องประดับไทยมีชื่อเสียงในการผลิตเครื่องประดับทองและเครื่องประดับเงิน โดยช่างฝีมือไทยมีความสามารถผลิตสินค้าด้วยความประณีตและสวยงามเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ส่งผลให้ไทยเป็นผู้ส่งออกเครื่องประดับเงินใน 2 อันดับแรกของโลกมานานนับทศวรรษ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นขนาดกลางและขนาดย่อมที่ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกต่างประเทศและบางส่วนจำหน่ายในประเทศ จึงมีการผสมผสานระหว่างการผลิตสินค้าด้วยมือและใช้เครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีค่อนข้างสูง โดยทั่วไปมักผลิตสินค้าแบบรับช่วงผลิต (Sub-Contract) หรือก็คือ การรับจ้างผลิตสินค้าตามคำสั่งของผู้ว่าจ้าง มีเพียงไม่กี่รายที่ผลิตสินค้าและจำหน่ายในแบรนด์ของตนเอง ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กมีจำนวนมากที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตเครื่องประดับซึ่งมักจะผลิตสินค้าโดยใช้แรงงานมีฝีมือและใช้เครื่องมือเครื่องจักรอย่างง่าย เน้นจำหน่ายสินค้าในประเทศ
 
ศักยภาพและความพร้อมของไทย
           
หากพิจารณาถึงศักยภาพและความพร้อมของไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลก สามารถสรุปปัจจัยส่งเสริมต่อการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ ดังนี้

1) ความสามารถในการเผาพลอย: แม้ว่าปัจจุบันไทยต้องนำเข้าวัตถุดิบอัญมณีเกือบทั้งหมดจากต่างประเทศ แต่จากการเป็นเจ้าของเทคนิคการปรับปรุงคุณภาพพลอยสีด้วยความร้อน อันเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ยังไม่มีประเทศใดทัดเทียม ทำให้พลอยก้อนจากทั่วโลกกว่าร้อยละ 80 ถูกส่งมาปรับปรุงคุณภาพที่ไทย และช่วยให้ประเทศไทยยังคงมีวัตถุดิบอัญมณีไหลเวียนเข้าออกอย่างต่อเนื่อง

2) แรงงานทักษะฝีมือสูง: ไทยมีแรงงานเจียระไนพลอยสี เพชร และช่างฝีมือผลิตเครื่องประดับที่มีทักษะ ความชำนาญ และความประณีตในการผลิตค่อนข้างสูงเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก รวมถึงแรงงานใหม่ก็สามารถฝึกสอนได้ง่าย และพัฒนาทักษะฝีมือได้ในเวลาอันรวดเร็ว จึงนับเป็นจุดแข็งที่สำคัญและยังเป็นหนึ่งในปัจจัยดึงดูดให้บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในไทย อาทิ Pandora Production Co.,Ltd. ซึ่งเลือกไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องประดับเงินเพียงแห่งเดียวที่กระจายสินค้าไปทั่วโลก Rosy Blue Diamond Co., Ltd. ผู้ผลิตเพชรรายใหญ่ของโลกสัญชาติเบลเยียม ซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ในหลายอำเภอในจังหวัดพิษณุโลก และ Abbeycrest PLC บริษัทรายใหญ่สัญชาติอังกฤษ ซึ่งดำเนินธุรกิจออกแบบ ผลิต และจำหน่ายเครื่องประดับทองและเครื่องประดับเงิน ตั้งฐานการผลิตอยู่ในจังหวัดลำพูน เป็นต้น

3) ผู้ประกอบการเชี่ยวชาญการค้าและปรับตัวได้ไว: ผู้ประกอบการกิจการอัญมณีและเครื่องประดับไทยเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจและหมั่นพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ทั้งด้านการแสวงหาวัตถุดิบ การออกแบบ การผลิต และการตลาด รวมถึงความเอาใจใส่ต่อลูกค้าทุกรายเสมือนเป็นญาติมิตรของตนเอง ซึ่งสร้างความประทับใจและช่วยคงความสัมพันธ์กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี

4) ความพร้อมด้านทำเลที่ตั้งและโครงสร้างพื้นฐาน: ประเทศไทยมีทำเลที่ตั้งเชื่อมโยงกับทุกภูมิภาคของโลก มีระบบโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณูปโภค และระบบการขนส่งที่ดี โดยไทยมีสนามบินในประเทศและนานาชาติหลายแห่ง รวมถึงระบบถนนที่เชื่อมโยงทุกจังหวัด จึงทำให้การเดินทางทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศสะดวก มีโรงแรมที่พักหลากหลายระดับให้เลือกใช้บริการ อีกทั้งยังมีธรรมชาติที่งดงามและสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับโลกจำนวนมาก

5) พื้นที่การค้ากระจายอยู่ทั่วประเทศ: ไทยมีย่านค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของต่างชาติหลายแห่ง โดยแหล่งสำคัญคือ ตลาดพลอยจันทบุรี (ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองจันทบุรี บริเวณถนนตรีรัตน์ ถนนศรีจันทร์ และตรอกกระจ่าง) ตลาดพลอยแม่สอด (ตั้งอยู่บนนถนนประสาทวิถี อำเภอ
แม่สอด จังหวัดตาก) และย่านการค้าในกรุงเทพฯ บริเวณถนนสีลม ถนนเจริญกรุง ถนนเยาวราช และถนนข้าวสาร นอกจากนี้ ยังมีศูนย์การค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่ตั้งอยู่ในเขตปลอดอากร เช่น ศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรี และนิคมอุตสาหกรรมอัญธานี (Gemopolis) อีกทั้งไทยยังมีงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับนานาชาติ (Bangkok Gems and Jewelry Fair) ซึ่งจัดขึ้นปีละ 2 ครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และกันยายน

6) หน่วยงานเฉพาะทางด้านอัญมณีและเครื่องประดับที่เข้มแข็ง: สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ หรือ GIT ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาล ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยให้แข่งขันได้ในตลาดโลก ผ่านการรับประกันคุณภาพมาตรฐานสินค้า สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศ พัฒนาคุณภาพบุคลากรในอุตสาหกรรมแบบครบวงจร และการให้บริการข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวในตลาดโลกแก่ผู้ประกอบการ รวมถึงไทยยังมีสมาคมและชมรมเกี่ยวกับอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของภาคเอกชน เพื่อดำเนินกิจกรรมเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่อุตสาหกรรม

7) การส่งเสริมสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ: รัฐบาลไทยได้ให้การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยมาอย่างต่อเนื่องนานนับทศวรรษ โดยออกมาตรการส่งเสริมทั้งด้านภาษี การเงิน การตลาดทั้งในและต่างประเทศ และลดขั้นตอนกฎระเบียบต่างๆ เพื่อทำให้การค้าเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น รวมถึงการร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด โดยเปิดรับฟังปัญหาและหาแนวทางแก้ไขอุปสรรคการค้าต่างๆ อีกทั้งยังได้มอบหมายให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการอัญมณีและเครื่องประดับครอบคลุมทุกด้านอีกด้วย



นโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ
           
เพื่อช่วยขจัดอุปสรรคทางการค้าเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันแก่อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย อันจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลกภายในอีก 5 ปีข้างหน้า รัฐบาลไทยจึงได้ออกมาตรการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ดังนี้

1) มาตรการด้านภาษี เดิมทีอัตราภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยอยู่ระหว่างร้อยละ 0-10 และภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ร้อยละ 7 ดังนั้น เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีความสามารถในการแข่งขัน และเพื่อให้มีสินค้าหลากหลายในประเทศเหมาะสมกับการเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ รัฐบาลจึงได้ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับทุกชนิดตั้งแต่เมื่อต้นปี 2560 และเนื่องจากไทยจะต้องพึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบอัญมณีเป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นเพื่อดึงดูดให้มีวัตถุดิบอัญมณีไหลเวียนเข้ามาในประเทศมากขึ้น รัฐบาลจึงได้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาที่นำวัตถุดิบอัญมณี (ที่ยังไม่เจียระไน) เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย โดยผู้ซื้อจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1 ของรายได้จากการขายอัญมณีทันทีที่มีการซื้อขายสินค้าพร้อมทั้งออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายและใบเสร็จรับเงินให้กับผู้ขายเพื่อใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร อีกทั้งรัฐบาลยังยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีนำเข้า หรือขายอัญมณีและโลหะมีค่า (ทองคำขาว ทองขาว เงิน และพาลาเดียม) ที่ยังมิได้ประกอบเป็นตัวเรือนสำหรับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังสามารถหักรายจ่ายได้ 2 เท่าสำหรับรายจ่ายประเภทเงินเดือน และค่าจ้างของแรงงานที่เป็นช่างเครื่องประดับ เป็นระยะเวลา 3 รอบบัญชี

2) มาตรการด้านมาตรฐานสินค้า โดยมุ่งยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก มีการจัดทำเครื่องหมายรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า (Hallmark) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ซื้อ และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคที่จะได้สินค้าคุณภาพตรงตามมาตรฐาน

3) มาตรการด้านฝืมือแรงงาน โดยมุ่งยกระดับฝีมือแรงงาน กำหนดอัตราค่าจ้างที่เหมาะสมสำหรับช่างเจียระไนพลอย ช่างหล่อเครื่องประดับ ช่างตกแต่งเครื่องประดับ และช่างประกอบอัญมณีบนตัวเรือนเครื่องประดับ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงานให้กับช่างฝีมือในอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยรักษาบุคลากรมีฝีมือไว้ได้ นับเป็นการลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานมีฝีมือในอุตสาหกรรมนี้

4) มาตรการทางการเงิน โดยขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสำหรับผู้ประกอบการ SMEs วงเงิน 30,000 ล้านบาท จากเดิมที่จะต้องยื่นขอสินเชื่อภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 เป็นขอสินเชื่อได้ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2560

5) มาตรการส่งเสริมด้านการตลาด โดยเชื่อมโยงเข้ากับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วยการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวในย่านการค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จัดให้มีงานแสดงสินค้า Thailand Grand Sale การประชาสัมพันธ์สินค้าที่มีคุณภาพให้แก่นักท่องเที่ยวผ่านสื่อต่างๆ เช่น สื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ของสายการบินต่างๆ เป็นต้น รวมถึงการเสริมสร้างภาพลักษณ์การเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลก โดยได้ประกาศความพร้อมในระหว่างการเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Ruby Forum 2017 และงานประชุม CIBJO CONGRESS 2017 ซึ่งจัดขึ้นในประเทศไทยระหว่าง2-7 พฤศจิกายน 2560 โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 300 คน จาก 42 ประเทศทั่วโลก

6) มาตรการส่งเสริมการลงทุน โดยชาวไทยและชาวต่างชาติสามารถขอรับสิทธิส่งเสริมการลงทุนประกอบกิจการอัญมณีและเครื่องประดับได้จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) หรือการนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอากร เช่น การยกเว้น/ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล การยกเว้น/ลดหย่อนอากรขาเข้าเครื่องจักร และวัตถุดิบ/วัสดุจำเป็น และสิทธิประโยชน์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาษีอากร เช่น อำนวยความสะดวกนักลงทุนให้บริการนำเข้าช่างฝีมือ และผู้ชำนาญการจากต่างประเทศ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e – Expert System) เป็นต้น ทั้งนี้ ในปัจจุบันไทยมีนิคมอุตสาหกรรมอัญมณี (Gemopolis) ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญแห่งหนึ่ง โดยมีผู้ประกอบกิจการจากหลายประเทศทั่วโลกมาตั้งฐานการผลิตอยู่ที่นิคมแห่งนี้ อีกทั้งไทยยังมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ อาทิ เขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด และเขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว ซึ่งธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ โดยผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิประโยชน์ อาทิ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 ของอัตราปกติ เพิ่มอีก 5 ปี อีกทั้งผู้ประกอบการยังสามารถใช้แรงงานต่างชาติได้ เป็นต้น
           
 
ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ธันวาคม 2560

 



1อุตสาหกรรมต้นน้ำ ได้แก่ การทำเหมือง การเผาพลอย การเจียระไนพลอย อุตสาหกรรมกลางน้ำ อาทิ การออกแบบ การขึ้นรูปตัวเรือน หล่อโลหะ การเข้าตัวเรือน ฝังพลอย ขัดผิว เป็นต้น อุตสาหกรรมปลายน้ำ อาทิ การตลาด และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่ง การประกันภัย เป็นต้น

 


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที