GIT Information Center

ผู้เขียน : GIT Information Center

อัพเดท: 15 ธ.ค. 2016 06.31 น. บทความนี้มีผู้ชม: 1569 ครั้ง

คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission: EC) ซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรป (European Union: EU) ได้อนุมัติการบังคับใช้กฎหมาย Carat Tax ในเบลเยียม โดยใช้ชื่อว่า “Diamond Regime” ทั้งนี้ Antwerp World Diamond Centre (AWDC) ได้ระบุว่า ภายใต้ร่างกฎหมายดังกล่าว การคำนวณภาษีจากผู้ค้าเพชรนั้นจะคำนวณตามรายได้แทนที่จะคำนวณตามกำไร ทำให้ไม่ต้องประเมินมูลค่าสินค้าคงคลังอีกต่อไป ภาษีนิติบุคคลจะเรียกเก็บแบบเหมาจ่ายตามสัดส่วนจากผลประกอบการของบริษัท คาดกันว่ากฎหมายซึ่งริเริ่มโดย AWDC นี้ จะช่วยยุติการสอบสวนและฟ้องร้องดำเนินคดีทางภาษีระหว่างผู้ค้าเพชรกับหน่วยงานด้านภาษีอากร ซึ่งเกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติในย่านค้าเพชรของแอนต์เวิร์พมานานหลายทศวรรษแล้ว ติดตามบทความฉบับเต็มเรื่อง "เดินหน้าภาษี Carat Tax ในเบลเยียม" ได้ที่ https://goo.gl/tQox52 หรือติดตามบทความอื่นๆ ที่ http://infocenter.git.or.th


เดินหน้าภาษี Carat Tax ในเบลเยียม

คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission: EC) ซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรป (European Union: EU) ได้อนุมัติการบังคับใช้กฎหมาย Carat Tax ในเบลเยียม โดยใช้ชื่อว่า “Diamond Regime” ทั้งนี้ Antwerp World Diamond Centre (AWDC) ได้ระบุว่า ภายใต้ร่างกฎหมายดังกล่าว การคำนวณภาษีจากผู้ค้าเพชรนั้นจะคำนวณตามรายได้แทนที่จะคำนวณตามกำไร ทำให้ไม่ต้องประเมินมูลค่าสินค้าคงคลังอีกต่อไป ภาษีนิติบุคคลจะเรียกเก็บแบบเหมาจ่ายตามสัดส่วนจากผลประกอบการของบริษัท คาดกันว่ากฎหมายซึ่งริเริ่มโดย AWDC นี้ จะช่วยยุติการสอบสวนและฟ้องร้องดำเนินคดีทางภาษีระหว่างผู้ค้าเพชรกับหน่วยงานด้านภาษีอากร ซึ่งเกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติในย่านค้าเพชรของแอนต์เวิร์พมานานหลายทศวรรษแล้ว
 
AWDC อธิบายว่า ต้นทุนสินค้าขาย (Cost of Goods Sold) ทั้งหมดคิดเป็นอัตราเหมาที่ร้อยละ 97.9 ของผลประกอบการของบริษัทผู้ค้าเพชรอันเกิดจากการค้าเพชรที่เกิดขึ้นจริงอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้กำไรขั้นต้น (Gross Margin) สำหรับการเรียกเก็บภาษีจึงอยู่ที่ร้อยละ 2.1 ของผลประกอบการนั้น จากนั้นก็สามารถหักลบค่าใช้จ่ายและการลดหย่อนภาษีออกจากกำไรขั้นต้นนั้นได้ อย่างไรก็ดี รายได้สุทธิที่เรียกเก็บภาษีหลังจากหักลบแล้วจะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 0.55 ของผลประกอบการ แต่เฉพาะในช่วงปีแรกที่มีการบังคับใช้กฎหมาย Carat Tax อัตราขั้นต่ำจะตั้งไว้สูงกว่าปกติเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.65 ภาษีนี้จะมีผลครอบคลุมผู้ค้าเพชรที่จดทะเบียนทั้งหมดโดยเริ่มตั้งแต่ปีภาษี 2017
 
ปฏิกิริยาจากภาคอุตสาหกรรม
 
“เมื่อคุณเสนอระบบการเก็บภาษีที่ต่างไปจากเดิม ก็น่าจะมีเหตุผลรองรับว่าเพราะเหตุใดคุณจึงไม่ต้องการระบบภาษีเดิม ในกรณีของผู้ค้าเพชรเบลเยียมนั้น เราสรุปกันว่ามีเหตุผลรองรับอยู่ ที่จริงแล้ว ถึงแม้มีการคิดค้นเทคนิคการตรวจสอบขึ้นมาโดยเฉพาะในยุคทศวรรษ 1990 เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายภาษีของเบลเยียม และทางการเบลเยียมก็ยังใช้เทคนิคนี้อยู่จนถึงปัจจุบัน แต่มันก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความยุ่งยากในการประเมินมูลค่าและการติดตามผล ยิ่งไปกว่านั้น เราเข้าใจว่าเมื่อพิจารณาจากตัวเลขที่เราได้รับ ภาษีที่ผู้ค้าเพชรต้องจ่ายจะเพิ่มสูงขึ้นในหมู่ผู้ค้าเพชรอย่างน้อยสามในสี่เมื่อภาษี Carat Tax เริ่มบังคับใช้ จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เรามองว่ากฎเกณฑ์พิเศษนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบกระเทือนต่อภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ และเพื่อให้แน่ใจว่าระดับภาษีที่ผู้ค้าเพชรจะต้องจ่ายนั้นมีความถูกต้องยุติธรรม รัฐบาลเบลเยียมจะคอยตรวจสอบสถานการณ์เป็นเวลาห้าปี” Yizhou Ren โฆษกของคณะกรรมาธิการยุโรปอธิบาย
 
มีผู้คนมากมายออกมาให้ความเห็นอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับประเด็นอันอ่อนไหวนี้ ความเห็นที่ชัดเจนมากที่สุดมาจากผู้ผลิตรายหนึ่งซึ่งกล่าวว่า “กฎหมายนี้เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง มันน่าจะออกมาตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนที่แอนต์เวิร์พรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่ก็หวังว่ามันจะช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้น”
 
ประเด็นเบื้องหลัง
 
โดยทั่วไปนั้นเราจะใช้ตัวแปรสองตัวเพื่อประเมินภาษีที่บริษัทหนึ่งๆ จะต้องจ่าย มีกำไรจากการดำเนินกิจการ (Operational Profit) ซึ่งก็คือรายได้ลบด้วยต้นทุน แล้วก็มีส่วนต่างของมูลค่าสินค้าคงคลังทั่วโลกที่เปลี่ยนแปลงไปปีต่อปี และเท่าที่ผ่านมาหน่วยงานด้านการคลังก็จะต้องพยายามหาคำตอบว่าต้นทุนส่วนไหนที่สามารถหักออกไปและหามูลค่าที่แท้จริงของสินค้าคงคลังซึ่งประกอบด้วยอัญมณีนับพันๆ หมวดในหน่วยดอลลาร์สหรัฐ เห็นได้ชัดว่าระบบนี้ซับซ้อนมาก และบ่อยครั้งทางการก็จะต้องยึดสินค้าไว้จนกว่าจะประเมินกำไรที่แท้จริงได้
 
ประเด็นที่สองซึ่งอาจมีความอ่อนไหวมากกว่าก็คือการหาวิธีที่จะช่วยให้คาดเดาตัวเลขให้ได้มากที่สุด เนื่องจากในตลาดโลกปัจจุบัน อุตสาหกรรมการขายส่งเพชรจะได้รับผลกระทบโดยอัตโนมัติจากวิกฤติต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าที่ใดในโลก ดังนั้นองค์ประกอบใดก็ตามที่ช่วยบรรเทาความผันผวน และเพิ่มความเรียบง่าย ความกระจ่างชัด การคาดเดาได้ และความมีเสถียรภาพจึงล้วนเป็นเรื่องน่ายินดี กฎหมาย Carat Tax ทำได้ตรงตามจุดประสงค์นี้ ด้วยการช่วยให้ผู้ค้าเพชรประเมินตัวเลขภาษีที่ต้องจ่ายได้อย่างมั่นใจและประเมินล่วงหน้าได้เป็นเวลานาน อันเป็นประโยชน์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากมองจากอีกมุมหนึ่ง อุตสาหกรรมเพชรโดยรวมก็อาจต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของที่เคยจ่ายกันมา
 
กฎหมาย Carat Tax จะนำมาใช้กับผลประกอบการจากการค้าเพชรที่เกิดขึ้นจริงอย่างต่อเนื่องเป็นประจำเท่านั้น บริษัทผู้ทำเหมืองมีอิสระที่จะเลือกระหว่างกฎเกณฑ์การเก็บภาษีแบบเก่าหรือแบบใหม่
 
เรื่องสำคัญประการสุดท้ายคือ คาดกันว่าบริษัทเพชรจะสามารถจัดการด้านการเงินได้ดีขึ้นกว่าเดิมมากเมื่อปัญหาเรื่องกำไรหมดไป ผู้ค้าเพชรรายใหญ่รายหนึ่งขยายความว่า “นับเป็นเรื่องดีมาก เพราะจะช่วยกระตุ้นให้บริษัทเพชรส่งผลกำไรจำนวนมากกลับประเทศของตนเอง ซึ่งจะช่วยให้กิจการเหล่านี้มีสถานะที่ดียิ่งขึ้นเมื่อจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากธนาคาร ขอเงินกู้ รวมถึงเงินทุนอื่นๆ”
 
------------------------------------------
ที่มา: “Carat tax moves forward.” by Marc Goldstein. RAPAPORT. (October 2016: p. 60).
 
 

บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที