CXO.Asia

ผู้เขียน : CXO.Asia

อัพเดท: 05 พ.ย. 2006 15.46 น. บทความนี้มีผู้ชม: 7352 ครั้ง

การวางตัว ความเป็นกลาง อย่างเป็นอิสระ เข้มแข็ง แท้จริง
ในสังคมเรา และสังคมโลก จึงเป็นเรื่องเดียวกัน
เหนี่ยวนำ ดึงดูด ซึ่งกันและกัน ไม่อาจแยกออกจากกันได้
หากเราไม่รู้ ไม่เข้าใจ อย่างแท้จริง ย่อมขัดแย้ง แตกแยก กับความเป็นจริงหลากหลายได้
ก่อเกิด ความโกรธแค้น เกลียดชัง บาดหมาง ไม่จบสิ้น
ย่อมไม่อาจพาตน ออกไปจากความเสื่อม พิษที่สะสม แห่งยุคสมัยของคนรุ่นเราได้


ตอนที่ ๑

ภาคสาม บทที่ ๑๑  การปฎิรูป การวางตัวและ จุดยืนความเป็นกลาง ในสังคมเรา และสังคมโลก อย่างเข้มแข็ง ยั่งยืน แท้จริง

 

วันที่ ๕ พฤศจิกายน 2006 (12:44)

 

เรียน พ่อแม่ พี่น้อง มิตรสหาย ครู อาจารย์ ผู้นำทุกระดับในสังคม บ้านเมือง นักเรียน นักศึกษา เด็กๆ และเยาวชน อันเป็นที่รักยิ่ง

 

แม้ว่าข้าพเจ้านี้ จะไม่ได้มีความพิเศษ ความสามารถ พรสวรรค์เหนือผู้คนอื่น เลยแม้แต่น้อย

เป็นแค่เด็กชาวนา ธรรมดาคนหนึ่ง บนแผ่นดินไทย อันเป็น แผ่นดินแม่ที่มีพระคุณ และเป็นที่รักยิ่ง เท่านั้น

 

เมื่อเทียบกับ พ่อแม่ ครู อาจารย์ ผู้นำทุกระดับทุกท่าน ที่มีความสามารถ ประสบการณ์ คุณวุฒิ วัยวุฒิ แล้ว

ข้าพเจ้าก็เปรียบเป็นดัง หิ่งห้อยตัวน้อย ที่คอยเปล่งแสง อยู่ภายใต้ ทุกท่าน ที่เป็นดังดวงอาทิตย์

ดวงจันทร์ ดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้า เท่านั้นเอง

 

แต่อย่างไรก็ตาม อาศัยที่ว่า ข้าพเจ้านั้น เป็นคนอยู่วงนอก และอยู่ไกลออกไป

จึงพอมองเห็นภาพในมุมกว้าง มุมอันหลากหลาย ที่ไม่อาจมอง หรือ สังเกตเห็น

จากจุดศูนย์กลาง หรือ จากจุดไกล้ๆ ได้

 

ขอเรียนว่า มีเจตนาเพียงเพื่อ อยากเสนอแนะ มุมมอง หรือ สิ่ง ที่ได้สังเกตุเห็น แด่ทุกท่าน

เพียงแต่คิดว่า ทุกท่าน อาจจะเมตตา ให้โอกาส บ้าง

เผื่อว่า อาจจะเป็นประโยชน์ แก่แผ่นดินแม่ อันมีพระคุณยิ่ง ไม่มากก็น้อย

 

มุมกว้างที่ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นมาบ้าง เช่น

 

ประการแรก ความสำคัญของ ผลกระทบ ของสังคมโดยรอบตัวเรา และสังคมโลก

 

หากเรามองประวัติศาสตร์ และสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยใจเป็นกลาง

จะเห็นว่า หากเราเปรียบประเทศของเรา เป็นดัง คนๆ หนึ่ง

แล้วอาศัย ดำรงชีวิต อยู่ในสังคมที่เรียกว่า สังคมโลก นั้น

เราจะสามารถหลีกเลี่ยง ผลกระทบ ของสังคม ทั้งทางตรง ทางอ้อม

จากคนอื่นใน สังคมเรา หรืิอประเทศอื่นใน สังคมโลก ได้หรือไม่

 

จะเห็นได้ว่า เราไม่อาจหลีกเลี่ยง ผลกระทบ ของสังคม ได้เลย

ยกเว้นว่าเราจะหลบไปอยู่คนเดียวกลางป่าใหญ่

หรือว่าปิดประเทศ ไม่คบหาสมาคมกับใคร โดยอาจคิดว่าประเทศเรา

มีความอุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว ไม่ต้องพึ่งพา คบหาสมาคมกับประเทศอื่นก็ได้

แต่ว่าในที่สุด ความเปลี่ยนแปลงที่ีไม่สิ้นสุด และเงื่อนไขต่าง

ย่อมจะ้ไปถึงตัวเรา ในไม่ช้า แม้ว่าเราจะอยู่ในป่า ไม่อยากยุ่งกับใครก็ตาม

ย่อมจะมาถึงประเทศของเรา ในไม่ช้า เช่นกัน แม้ว่าเราจะไม่อยากยุ่งกับใครก็ตาม

 

เราจะเห็นว่า การแก้ไขโดย อยู่คนเดียว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร

หรือปิดประเทศ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับประเทศอื่น ย่อมเป็นการกระทำที่สุดโต่ง

ให้ผลดีแค่ช่วงสั้นๆ ไม่เกิดผลดีอย่างยั่งยืน แต่อย่างใด

 

หรือว่า เราอาจจะเลือกที่จะกระโจน ลงสู่สนามแข่งขัน คบหาสมาคม สังสรรค์ ในสังคมโลกอย่างเต็มที่

โดยหลงตัว ลืมตัว ไม่ประมาณตัว โดยคิดอย่างง่ายๆ หรืิอทำๆ ตามผู้อื่น ประเทศอื่นไป

ด้วยความดีใจ ความพอใจ ความมัวเมา งมงาย โดยไม่ได้ตรวจสอบข้อดี ข้อเสีย ของตัวเอง

ไม่ได้ตรวจสอบข้อดี ข้อเสีย ของการรีบกระโจนนั้น อย่างทะลุปรุโปร่ง ทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง

ที่ไปที่มา อย่างรู้รอบ รู้เท่าทัน

ย่อมเป็นการกระทำที่สุดโต่ง ให้ผลดีแค่ช่วงสั้นๆ ไม่เกิดผลดีอย่างยั่งยืน เช่นกัน

 

ประการที่สอง ความสำคัญของ การวางตัว จุดยืนความเป็นกลาง ในสังคมโดยรอบตัวเรา และสังคมโลก

 

เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่า ในสังคมเรา หากเราวางตัวดี คือประกอบด้วย กาย วาจา ใจ ที่ดี

แสดงออกด้วย ความนอบน้อมถ่อมตน สุภาพอ่อนโยน ต่อผู้อื่น ให้เกียรติและรับฟังผู้ื่อื่น

เรามักจะได้รับ ความนอบน้อมถ่อมตน สุภาพอ่อนโยน ให้เกียรติและรับฟัง กลับคืนมาเสมอๆ

 

เช่นกัน ในสังคมโลก หากประเทศเราวางตัวดี คือประกอบด้วย กาย วาจา ใจ ที่ดี

แสดงออกด้วย ความนอบน้อมถ่อมตน สุภาพอ่อนโยน ต่อผู้อื่น ให้เกียรติและรับฟังผู้ื่อื่น

ประเทศเรามักจะได้รับ ความนอบน้อมถ่อมตน สุภาพอ่อนโยน ให้เกียรติและรับฟัง กลับคืนมาเสมอๆ

 

เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่า ในสังคมเรา หากเรามีจุดยืนที่เป็นกลาง กล้าหาญ ซื่อตรง เข้มแข็ง มั่นคง ไม่อคติ ไม่โอนเอียง

เรามักจะได้รับ ความไว้วางใจ ความเชื่อมั่น ความนับถือต่อกัน กลับมาเสมอ

เมื่อสังคมเรา มีการเปลี่ยนแปลง เกิดวิกฤติ ความเป็นกลาง กล้าหาญ ซื่อตรงของเรานั้น

ย่อมเป็นคุณมากมาย ต่อตัวเรา ต่อผู้คนรอบข้าง ในสังคมเรา

 

เ่ช่นกัน ในสังคมโลก หากเรามีจุดยืนที่เป็นกลาง กล้าหาญ ซื่อตรง เข้มแข็ง มั่นคง ไม่อคติ ไม่โอนเอียง

ประเทศเรามักจะได้รับ ความไว้วางใจ ความเชื่อมั่น ความนับถือต่อกัน กลับมาเสมอ

เช่น เมื่อสังคมโลก มีการเปลี่ยนแปลง เกิดวิกฤติ ความเป็นกลาง กล้าหาญ ซื่อตรงของประเทศเรานั้น

ย่อมเป็นคุณมากมาย ต่อตัวประเทศเรา ต่อประเทศเพื่อนบ้านรอบข้าง ในสังคมโลกเรา

 

 

ประการที่สาม เงื่อนไข ที่ทำให้เกิด การวางตัว และจุดยืนที่เป็นกลาง อย่างเข้มแข็ง แท้จริง

 

ความรู้ ความเข้าใจ ในที่ไปที่มา เบื้องหน้า เบื้องหลัง ของสิ่งต่างๆ

ตามความเป็นจริง ตามความหลากหลายตามธรรมชาติ

ความรู้ ความเข้าใจ ในการเกิด เพิ่มขึ้น ลดลง ในความยึดมั่น ถือมั่น ในตัวตน ในความจริงเฉพาะตน

ความรู้ ความเข้าใจ ในความขัดแย้ง อันเกิดจาก ความยึดมั่นเฉพาะของแต่ละคน

ที่ไม่สอดคล้อง เกิดขัดแย้งกับ ความเป็นจริง ผู้คน ที่หลากหลาย ตามธรรมชาติ

 

เกิดสติ การรู้ตัว ตามธรรมชาติ ที่รับรู้ ที่รู้สึก

ว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และสอดคล้องกับธรรมชาติ

เกิดการเชื่องโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน เป็นพัฒนาการตามธรรมชาติของมนุษย์

การเชื่อมโยงที่ขึ้นอย่างเป็นเหตุกับผล ไม่ขึ้นกับอคติ ความพอใจ ไม่พอใจส่วนตัว

ปราศจากการเลือกที่รักมักที่ชัง ปราศจากจิตใจที่ขุ่นมัว โกรธแค้น เกลียดชัง บาดหมาง

 

เมื่อจิตใจ เป็นอิสระ ไม่ตกเป็นเป็นทาส ไม่โดนกดขี่ กดทับ อย่างหนักยิ่ง

จากความเศร้าหมอง จากอคติ จากขุ่นมัว โกรธแค้น เกลียดชัง บาดหมางแล้ว

ย่อมสามารถเป็นอิสระ คล้ายองค์กรอิสระในรัฐธรรมนูญ

เช่น ระบบยุติธรรม เช่น ศาล ตุลาการต่างๆ หรือฝ่ายตรวจสอบการเมือง เช่น กกต ปปช สตง

ที่เป็นอิสระจากฝ่ายการเมือง หรือพรรคการเมือง ไม่มีบุญคุณ ไม่มีความแค้นต่อกัน

 

ย่อมสามารถทำหน้าที่ได้ อย่างมีอิสระ เต็มที่ เป็นกลางอย่างแท้จริง

ให้ความยุติธรรม ให้ประโยชน์แก่ทุกฝ่าย แก่ส่วนรวม ในระยะยาว อย่างแท้จริง

ไม่ทำงาน ไม่ตัดสิน ด้วยอคติ ความรักชอบ เกลียดชังส่วนตัว

หรือ ขึ้นกับ บุญคุณ ความแค้นส่วนตัว

 

การเกิดขึ้น การฝึกฝน การวางตัว การเป็นกลาง อย่างเข้มแข็ง แท้จริงนี้

ต้องฝึกฝน ต้องปฎิบัติ อยู่เป็นประจำ ทุกลมหายใจเข้าออกของเรา จึงจะเกิดผลอย่างแท้จริงได้

 

แต่ว่าเราต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ตามความเป็นจริงที่ว่า

หลักความดี ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ต่างๆ ย่อมเป็นหลักความจริง ที่มากจากธรรมชาติ เช่นกัน

ที่อาจจะหลากหลาย แตกต่างกันไป ตามแหล่งที่มา อันหลากหลาย

เกิดขึ้นเป็นความเชื่อ เป็นวิถีชีวิต ที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป ตามเงื่อนไขต่างๆกัน

 

อย่างไรก็ตามขอบเขตพลังของ หลักความดี ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ต่างๆนั้น

ไม่อาจที่จะต้านทาน กั้นการไหลบ่าของแบบรุนแรง เฉียบพลัน ดุจกระแสน้ำป่า

ของอคติ อารมณ์ ความรัก ความพอใจ ความไม่พอใจ เกลียดชัง โกรธแค้น บาดหมาง

อุปสรรค การท้าทาย การเบียดเบียน ในตัวตน ในความเชื่อ ในความจริง ของเราได้

 

เราต้องดำรงกาย วาจา ใจ ให้เป็นอิสระ จากอคติ จากความพอใจ ความไม่พอใจ ทั้งปวง

เราจึงจะสามารถดำรง ความเป็นกลาง อย่างเข้มแข็ง แท้จริง

และสามารถดำรง การวางตัว ที่งดงาม อ่อนน้อมถ่อมตน เข้าใจที่ไปที่มา เบื้องหน้า เบื้องหลัง ของสิ่งทั้งปวงได้

เข้าใจ เห็นใจ ให้เกียรติ ตระหนัก มองเห็นคุณค่าในตัวผู้ัอื่น และพร้อมรับฟัง อย่างเปิดกว้าง เต็มใจ อย่างที่จริง

 

ประการที่สี่ เงื่อนไข ที่ทำให้ประเทศของเรา วางตัวและเป็นกลาง อย่างเข้มแข็ง แท้จริง ในสังคมโลกได้

 

ประเทศของเรานั้น มีเงื่อนไข ทางธรรมชาติและภูมิศาสตร์ อย่างบริบรูณ์

ส่งผลให้เกิดความหลากหลาย เกิดความสมบรูณ์ มาอย่างยาวนาน

 

การที่มีความสมบรูณ์ด้านกายภาพ มายาวนานนั้น

ทำให้จิตใจ ไม่โดนบีบคั้น จากธรรมชาติ จนเกินไป

จากการเอาตัวรอดด้วยสัญชาตญาณสัตว์โลก จนเกินไป

ทำให้เกิดการพัฒนาภายใน คือ ทางด้านจิตใจ มายาวนาน

 

เป็นผู้ที่มีจิตใจดีงาม ยิ้มแย้มแจ่มใจ มีน้ำใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันมากนัก จนเกิดปัญหา หรือวิกฤติ

หรือสายน้ำส่วนใหญ่ ที่ไหลมารวมกัน ยังดีงาม ยังบริสุทธิ์

มากกว่าสายน้ำส่วนน้อย ที่ทำให้เกิดพิษ นั่นเอง

 

อย่างไรก็ตาม ความเสื่อม หรือพิษสะสม ย่อมเกิดขึ้นโดยธรรมดา ธรรมชาติ

กับทุกๆสิ่ง ทั้งจิตใจเรา ผู้คน สังคมเรา สังคมโลก

เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ที่ความเสื่อม หรือ ว่าพิษได้สะสม มากพอ จนเกิดโทษ

กับทุกคน จนหลีกเลี่ยงได้ยาก

สิ่งนี้ก็จะเป็นจุด ที่ทำให้เราทุกคน มองเห็นความจำเป็นต้องปรับตัว แก้ไข

ต้องกล้าวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง และปรับตัวเอง ให้สอดคล้องกับธรรมชาติ

สิ่งแวดล้อม สังคมเรา สังคมโลก ที่เปลี่ยนไปมาก

เพื่อให้เราทุกคนพ้น ความเสื่อม พิษสะสมที่เกิดขึ้น ของยุคสมัยของคนรุ่นเราได้

 

การวางตัว ความเป็นกลาง อย่างเป็นอิสระ เข้มแข็ง แท้จริง

ในสังคมเรา และสังคมโลก จึงเป็นเรื่องเดียวกัน

เหนี่ยวนำ ดึงดูด ซึ่งกันและกัน ไม่อาจแยกออกจากกันได้

หากเราไม่รู้ ไม่เข้าใจ อย่างแท้จริง ย่อมขัดแย้ง แตกแยก กับความเป็นจริงหลากหลายได้

ก่อเกิด ความโกรธแค้น เกลียดชัง บาดหมาง ไม่จบสิ้น

ย่อมไม่อาจพาตน ออกไปจากความเสื่อม พิษที่สะสม แห่งยุคสมัยของคนรุ่นเราได้

 

เป็นสิ่งที่เราต้องช่วยกันขยายผล ให้เกิดขึ้นในวงกว้าง เท่าที่จะทำได้

ช่วยกันขยายผล ปฎิบัติอย่างเป็นประจำ ต่อเนื่อง ดึงดูด เหนี่ยวนำ

เพื่อให้เกิดต้นแบบ เกิดแบบอย่าง ดังผู้นำ ที่อ่อมน้อม งดงาม ในหมู่มนุษย์

ผู้เปี่ยมไปด้วยสติปัญญา กล้าหาญ ซื่อตรง กาย วาจา ใจ ที่บริบรูณ์

 

เป็นต้นแบบ เป็นแบบอย่าง เป็นผู้นำ เป็นผู้นำทาง

เป็นดังฮีโร่ เป็นดังรัฐบุรุษ ที่รับผิดชอบ บทบาท หน้าที่ ในยุคสมัยของคนรุ่นเรา

สามารถส่งต่อ สังคมเรา และสังคมโลก ที่ไม่เป็นพิษ ไม่เกิดโทษ

เป็นผลดี เป็นประโยชน์ แก่ เด็กๆ ลูกหลาน ของเราทุกคน ในรุ่นต่อไปได้

 

ย่อมเกิดผลดี ประโยชน์ แท้จริง ยั่งยืน ในระยะยาว

ต่อทั้งตัวเราเอง ผู้คนรอบข้าง สังคมเรา และสังคมโลกได้

 

สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกท่านมีกำลังกาย กำลังใจ ที่ดียิ่ง ในการทั้งปวง ขอขอบพระคุณยิ่ง

 

ด้วยความยินดี เต็มใจ เปิดกว้าง เป็นเกียรติ อย่างยิ่ง ต่อความรู้สึก ความคิดเห็น ของทุกท่าน

และขอเชิญทุกท่าน แวะเยี่ยมชมทั้ง ๓๐ บทความ ได้ที่

http://www.tpa.or.th/writer/author_des.php?passTo=e7c730f5848300fc6f352f248796df86&authorID=63

และ

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=cxoasia&group=1

 

 

 


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที