ชัชวาล อรวงศ์ศุภทัต

ผู้เขียน : ชัชวาล อรวงศ์ศุภทัต

อัพเดท: 25 มิ.ย. 2009 09.30 น. บทความนี้มีผู้ชม: 6152 ครั้ง

กร็ดความรู้...เพื่อเป็นมนุษย์งานมือโปร
HR Contribution
ในสภาพการณ์ของสังคมที่ความรู้เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปตลอด และเป็นสิ่งจำเป็นของการเรียนรู้เพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับหน้าที่การงานและชีวิต ในฐานะที่ผู้เขียนทำงานในสายงานบริหารทรัพยากรบุคคล จึงขอฝากเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับการทำงานไว้ให้ได้เรียนรู้กัน ทั้งผู้เขียนและท่านผู้อ่าน ในลักษณะเรียนรู้ร่วมกัน สรรค์สร้าง HR เพื่อความเป็นมืออาชีพนะครับ....


10-Year-Rules กฎ 10 ปีของการสร้างความก้าวหน้า

ฟังดูชื่อบทความแล้ว อาจจะเครียดกับระยะเวลา.....

เอาล่ะ ลืมเรื่องเวลาก่อนแล้วมาพูดคุยกัน 

ช่วงนี้ งานหนัก ๆ ของ HR โดยเฉพาะสายงาน HRD นั้น คงหนีไม่พ้นความพยายามสร้างประสิทธิภาพในการทำงานให้กับพนักงานในองค์การ  ซึ่งจะว่าไปนั้น การสร้างประสิทธิภาพในการทำงานนี้ ทำได้หลายเรื่องเลยล่ะ เริ่มจากการสร้างภาวะในการนำงานให้สร้างประสิทธิผลได้สูงของหัวหน้างาน การจัดระบบกระบวนการทำงานที่ simple but smart  การสร้างเป้าหมายที่บ่งชัดขององค์การ และอื่น ๆ อีกมากหลาย 

HR ในยุคใหม่เองก็เปลี่ยนจุดเน้นที่เราให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรไปไม่น้อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ผมเองจะไม่อาจเรียกได้ว่าเชี่ยวชาญมากนัก แต่หากท่านทั้งหลายได้ติดตาม trend นี้แล้วเชื่อว่าจะเห็นด้วยกับผมในประเด็นว่า การพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถที่เหมาะสมเพื่อให้การทำงานของพนักงานได้ผลตามเป้าที่วางไว้ ทั้งเป้าส่วนตัว และเป้าองค์การนั้น และแม้จะมันจะเป็นข้อกำหนดของระบบ ISO version ล่าสุดก็ตาม  แต่ความนิยมของการพัฒนาบุคลากรได้สวิงแนวโน้มไปในด้านการม่งพัฒนาฝึกฝนทัศนคติ อุปนิสัยใจคอ และแรงจูงใจในการทำงานเสียเป็นด้านหลัก

เรื่องหนึ่งที่ HR จะต้องจับให้มั่นเลยในความคิดผมก็คือ การพัฒนาและกระตุ้นทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง และเชื่อมโยงมันนำไปสู่การปรับพฤติกรรมของบุคลากรเพื่อให้สะท้อนไปยังผลงาน ซึ่งเริ่มตั้งแต่จิตใจเลยล่ะครับ

หากจะสรุปว่า  trend การพัฒนาบุคลากรใหม่ มุ่งไปที่การใช้เทคนิคการพัฒนาจิตใจของคนทำงานเพื่อให้เป็นพื้นฐานนำไปสู่การพัฒนาตนเอง ก็คงไม่ผิดนัก โดย key ของการพัฒนาตนเองของคนทำงานนั้น อยู่ที่เรื่องของการให้พนักงานทั้งหลาย รู้จักวิธีในการสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้เกิดขึ้นด้วยตัวเอง รู้จักและสามารถกำหนดเป้าหมายชีวิตของตัวเอง และเป้าหมายของการทำงานได้ ค้นหาตัวเองด้วยการวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน รวมทั้งการสร้างโปรแกรมการพัฒนาฝึกฝนตนเองได้ แบบนี้เรียกว่า การพัฒนาที่เกิดจาดเนื้อในตนครับ

นี่งัยล่ะครับที่หลายท่านบอกว่า คนที่ทำงานด้านพัฒนา "คน" ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างานที่เกี่ยวข้องโดยตรง และ HR ที่มีบทบาทจัดการ "คน" ในระดับองค์การ ย่อยลงมาถึงระดับบุคคลในอีกบทบาทหนึ่ง จึงต้องมีความรู้และขัดความสามารถ (competency) ด้านจิตวิทยาพฤติกรรมมนุษย์+พฤติกรรมองค์การ เป็นอย่างมาก องค์ความรู้พวกนี้ เราเองไม่ค่อยสนใจเพราะฟังแล้วปวดหัวปวดใจเหลือเกิน แต่มันมีประโยชน์มากครับสำหรับชีวิตการทำงานของพวกเรา 

และยิ่งเติบโตในหน้าที่การงานมากขึ้นเท่าใด การจัดการกับคนก็ยิ่งทวีมากขึ้น ความจำเป็นที่จะต้องรู้เรื่องพวกนี้ก็มากเป็นเงาตามตัว  

แต่ถ้าถามว่าประสิทธิภาพในการทำงานที่เกิดมาจากอะไรได้ใจและได้งานมากกว่ากัน 

ผมเองโดยส่วนตัว เทใจให้กับประสิทธิภาพในการทำงานทื่เกิดจากแรงจูงใจในการทำงานที่ดีที่เหมาะสมจากตัวเราเอง

ที่เกริ่นไปมากนั้น มันเกี่ยวอะไรกับ 10-Year-Rules กฎ 10 ปีของการสร้างความก้าวหน้า ที่เป็นหัวข้อเรื่องล่ะ 

ที่ผมว่ามายืดยาวเสียเหลือเกินนั้น ผมสื่อไปยังท่านผู้อ่านว่า ถึงอย่างไรก็ตาม "ตัวเอง" ก็เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการพัฒนาที่ส่งผลกระทบไปยังองค์การในท้ายที่สุด  หากเราม่งมั่นต้องการให้เกิดความเติบโตในหน้าที่การงานในอนาคต ไม่ว่าท่านคาดหมายว่าใกล้หรือไกลแล้ว  ขอให้เริ่มมันมาจากตัวเองเป็นการดีที่สุดครับ 

ผมเองเชื่อว่าท่านผู้อ่านจะได้ติดตามอ่านเรื่องราวความสำเร็จของบุคคลชั้นแนวหน้าของโลก ไม่ว่าจะเป็นนักการกอล์ฟอย่าง Tiger Wood มหาเศรษฐีขั้นเทพอย่าง Bill Gates
หรือ CEO ชั้นเซียนอย่าง Jack Welch ที่เรามักพูดถึงกันเสมอ  บุคคลเหล่านี้ ไม่ได้เติบโตประสบความสำเร็จมาจากพรสวรรค์หรอกครับ (แต่ผมก็ไม่ปฏิเสธว่าเขาไม่มีสติปัญญาที่ดีเลิศ...ซึ่งมันก็สร้างได้ เรียนรู้และฝึกฝนพัฒนาได้เช่นกัน) เขาเหล่านี้ ม่งมั่นฝึกอบรมพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา  เรียนรู้โลกรอบตัวและความรู้ในอาชีพที่เขาต้องการประสบความสำเร็จนั้นอย่างสม่ำเสมอ และก็มักจะไม่น้อยกว่า 10 ปี

10-Year-Rules ก็คือ ระยะเวลาที่ธรรมดาแล้วคนเราจะใช้เพื่อสร้างความประสบความสำเร็จในอาชีพการงานให้กับตัวเอง ด้วยการฝึกฝนพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจของเขา ตลอดระยะเวลาตามเส้นทางที่เขาเดินไป 

เคยมีการทำวิจัยเพื่อติดตามพฤติกรรมการฝึกของ Jerry Rice นักอเมริกันฟุตบอลผู้โด่งดังตลอดกาลใน NFL เพื่อค้นหาว่าอะไรหรือทำให้อีตา Rice นี้เก่งขั้นเทพเลยทีเดียว คณะนักวิจัยก็พบว่า คุณพี่เค้าใช้เวลาในการฝึกซ้อมส่วนหนึ่งไปในการฝึกตามโปรแกรมที่เขาออกแบบเอง  ตอนเช้าจะฝึกวิ่งอึด วิ่ง sprint ขึ้นเนินเขาหรือภูเขา ตอนบ่ายก็จะเข้ายิมฝึกกล้ามเนื้อส่วนที่ต้องการสร้างเสริม พร้อมกับ "เค้านั่งหรือยืนผมก็ไม่แน่ใจครับ" วิเคราะห์ตัวของเขาเองว่าพัฒนาการเป็นอย่างไรแล้ว ยังขาดอะไรบ้างสำหรับการแข่งขัน จากนั้นก็จะสร้างโปรแกรมการฝึกฝนตัวเองขึ้นมา เช่น สร้างวิธีการวิ่งหลบหลีกคู่ต่อสู้ที่วิ่งสวนทางขึ้นมาระหว่างที่กำลังวิ่งเข้าแดนคู่แข่ง ซึ่งเขาพบว่า จำเป็นต้องใช้ความอึดมากกว่า speed ที่สูงของการวิ่ง แนวทางแบบนี้ ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์การแข่งขัน และแน่นอนว่า มันทำให้ Rice เองมีผลงานการเล่นที่โดดเด่นเป็นตำนานของ NFL เลยทีเดียว 

แม้ว่าระยะเวลาในการฝึกซ้อมในสนามกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ของเขาจะน้อยกว่าที่ควรจะเป็นก็ตาม 
 
และก็เช่นกัน การที่คุณ Rice ก้าวมาถึงจุดนี้ได้นั้น เขาไม่ได้ใช้เวลาแค่ 2-3 ปีครับ ใช้เวลานานมากกว่า 10 ปีด้วยซ้ำไป  

บทเรียนจากอีตา Rice (ซึ่งผมขอทายว่าเป็นคนผิวสีตรงข้ามกับชื่อเขาที่เป็นอีกสีหนึ่ง) บอกเรา 2 เรื่องครับ

เรื่องแรก คนที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ต้องรู้จักวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองให้ได้ และเรียนรู้ที่จะฝึกฝนพัฒนามันขึ้นมาด้วยตนเอง อาจจะต้องลองผิดลองถูกบ้างเพื่อหาวิธีการที่ดีกว่าในแต่ละสถานการณ์  และที่ว่าไปนี้ มันก็คือ concept ของการพัฒนาตนเองที่ผมว่าไปแล้วข้างต้นนั่นเองครับ 

หลายองค์การที่ต้องการพัฒนาผู้บริหารรุ่นใหม่เพื่อทดแทนคนรุ่นเก่าที่กำลังโรยราลง จึงสร้างโปรแกรมการฝึกอบรมพิเศษโดยใช้ Executive Coach จากภายนอกองค์การมาสอนงานและให้ feedback กันเป็นเรื่องเป็นราวเลย  โดยวิธีการแบบนี้ คนที่เรียนลัดก็จะรู้วิธีการสร้างความสำเร็จให้กับตัวเองได้อย่างรวดเร็วและมีแนวทางที่แจ่มแจ๋วเลยล่ะ

เรื่องที่สอง คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น เค้าต้องฝึกฝนตนเองอย่างมีแบบแผน (delibertive practice) ไม่สะเปะสะปะไปเรื่อย มีทิศทางชัดเจน มีการ feedback ที่เหมาะสม ทั้งจากตัวเองและคนรอบข้าง ซึ่งนั่นก็เป็นหน้าที่ของหัวหน้างานและองค์การที่จะช่วยกันสร้างให้เขามีศักยภาพสามารถทำงานให้กับองค์การได้อย่างมีสัมฤทธิ์ผล

ประเด็นหลักจากบทเรียนก็คือ คนที่เค้าประสบความสำเร็จที่ว่านั้น ไม่มีสักคนเดียวที่เปิดหน้าหนังสือพิมพ์อ่านแต่ข่าวก๊ฟา ข่าวบันเทิง ดูละครน้ำเน่าโดยที่ไม่เคยอ่านหนังสือความรู้เกี่ยวกับงานในอาชีพหรือโลกภายนอกเลย  ไม่มีใครเช่นกันที่เอาแต่ chat online เรื่องไร้สาระกับเพื่อน ๆ ในโลกไซเบอร์ และความจริงมีอยู่ว่า คนเหล่านี้ ล้วนตั้งใจมุ่งมั่นพัฒนาจากตัวของเขาเอง โดยที่ไม่ต้องรอองค์การหยิบยื่นให้ หรือหากองค์การจะมอบให้เขาก็เป็นส่วนที่องค์การจะต้องให้ตามบทบาทและหน้าที่อยู่แล้ว เพราะท้ายที่สุดนั้น คนที่จะได้ประโยชน์จากเขาก็คือองค์การไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม    
    
เฮอ...ผมเองก็คงต้องใช้เวลาอีกนานเลยล่ะครับ  ท่านใดมีทางลัดความสำเร็จที่อยากเสนอแนะ บอกผมด้วยนะครับ...!!! แต่ก็ขอเป็นกำลังใจให้พี่น้อง Gen-X ทั้งหลาย ม่งมั่นตั้งใจทำงานสร้างความสำเร็จในอาชีพการงานต่อไปเทอญ...

ขออนุโมทนามาด้วยประการะฉะนี้....

   

บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที