วิกูล

ผู้เขียน : วิกูล

อัพเดท: 18 ม.ค. 2009 07.47 น. บทความนี้มีผู้ชม: 4185 ครั้ง

อยู่ได้อย่างมีความสุขกายใจ ในท่ามกลางกระแสเลิกจ้าง คุณก็ทำได้


-


ถูกเลิกจ้าง...!!! ก็จะอยู่อย่างมีสุข คุณก็ทำได้...!!!

วิกูล โพธิ์นาง

 pd_wikul@maco.co.th

๑๖  มกราคม  ๒๕๕๒

 

ประชากรประเทศไทย ณ ปัจจุบันอยู่ที่ ๖๖ ล้านกว่าคน...!!!

ความเป็นอยู่วันนี้ ได้วนเวียนมาสู่สภาพของข้าวยากหมากแพง ดังคำโบราณท่านกล่าวไว้เพื่อให้เห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ที่ทุกข์ยากลำบากของการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของกำลังแรงงานที่มีปริมาณรวมกันทั่วประเทศมากถึง ๓๖ ล้านกว่าคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ว่างงาน ๖ แสนคนต้นๆ

แรงงานไทยก็ไม่ต่างอะไรกับที่เราเคยเรียกขานชาวนาไทยว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ บัดนี้เป็นยิ่งกว่า ที่เป็นทั้งกระดูกสันหลัง หัวใจและสายเลือดของชาติ

นายจ้างของพวกเขาบางรายได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจต้องปิดกิจการ ลดกำลังการผลิต ลดชั่วโมงการทำงาน บางแห่งลดกระดาษชำระยังมี สารพัดลดเพื่อให้อยู่รอด อันนำมาสู่การเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก เพิ่มจากเดิมที่อัตราการว่างงาน ๑.๕-๑.๗ กำลังจะเพิ่มเป็น ๒.๕-๒.๗ จากจำนวนประชากรทั้งชาติ ๖๖ ล้านคน

จากที่จะมีการเลิกจ้างในปีปัจจุบัน ๒๕๕๒ ที่ส่อว่าจะมากถึง ๑ ล้านคน เมื่อรวมกับผู้ว่างงานเดิม ๖ แสนคนนับว่าเป็นปริมาณมากทีเดียวถึงหนึ่งล้านหกแสนคน มากกว่ากำลังพลของกองทัพไทยเสียอีก

ส่วนการเลิกจ้างนั้น ซึ่งก็มีทั้งแบบที่เป็นธรรมและเป็นอธรรม ปล่อยลอยแพหลบหลีกไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ ที่กำหนดเกี่ยวกับ “ค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้าง” โดยแรงงานที่ทำงานครบ ๓ เดือน แต่ไม่ครบ ๑ ปี จะได้รับค่าชดเชย ๑ เดือน, ทำงานครบ ๑ ปี แต่ไม่ครบ ๓ ปี ได้รับค่าชดเชย ๓ เดือน, ทำงานครบ ๓ ปี แต่ไม่ครบ ๖ ปี ได้รับค่าชดเชย ๖ เดือน, ทำงานครบ ๖ ปี แต่ไม่ครบ ๑๐ ปี ได้รับค่าชดเชย ๙ เดือน, ทำงานครบ ๑๐ ปีขึ้นไป ได้รับค่าชดเชย ๑๐ เดือน

คงยากเต็มทีที่จะไม่ให้เขานายจ้างหยุดการผลิต ยุติการเลิกจ้าง ในเมื่อกิจการนั้นต้องสัมพันธ์กับสภาพของเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองระดับมหภาค ทั้งในระดับประเทศรวมถึงนานาประเทศ

แน่นอนว่าเบื้องต้นนั้น ความทุกข์กายทุกข์ใจย่อมบังเกิดกับผู้ที่ได้รับผลกระทบนั้นทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่ยังไม่ได้รับผล แต่ก็อยู่ด้วยความหวั่นเกรงว่าเมื่อใดหนอจะมาถึงตัวเรา

หากไม่ตั้งรับและรุกกลับ เราก็จะโดนรุกรบจนราบ จะตั้งรับและรุกอย่างไรกับสภาพแวดล้อมที่หลายคนพูดเสียจนน่ากลัวว่าปีนี้เผาจริง เพื่อให้เราอยู่อย่างมีความสุขกายสุขใจ ตามสภาพที่ควรจะเป็นของแต่และเอกบุคคล

คำตอบนั้นอยู่ที่ใจ  ความรู้สึกนึกคิดหรือทัศนคตินั่นเอง

ถ้าใจพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างก็พร้อม ดังคำพระท่านสอนว่า “ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จแล้วด้วยใจ” นั่นก็คือคิดบวก หรือคิดดีๆเข้าไว้และใจสู้ อย่าแพ้สุนัขสามขาตาบอด ที่หากินมีความสุขหยอกหล่อกันข้างถนนกับเพื่อนๆของเขา อีกเช่นกันพระท่านยังย้ำอีกว่า “คิดบวก ชีวิตบวก” คิดลบชีวิตลงเหว

เบื้องต้นให้คิดว่า ดีแล้วที่เศรษฐกิจแบบนี้ จะได้เลิกทำงานเป็นลูกจ้างเขาเสียที ไม่ต้องเป็นมนุษย์เงินเดือนเงินสัปดาห์หรือรายวัน เลิกเป็นทาสแรงงานในยุคโลกาภิวัฒน์ ถึงเวลากลับต่างจังหวัดบ้านเกิดของเราเสียที เพราะอย่างน้อยเราก็มีบ้านมีที่ดินไม่อดตายเป็นแน่แท้หากดำรงชีวิตอยู่อย่างพอเพียงดังพ่อหลวงได้พระราชทานให้เราชาวไทยทุกคนในแนวทางของ “เศรษฐกิจพอเพียง”

แม้แต่เพลงเขาก็ยังแต่งร้องรอเรามาตั้งหลายปี “กลับบ้านเรา รักรออยู่ สู่อ้อมใจ ของบ้านเกิด” ที่บ้านเรามีรักมีเมตตาเอื้ออาทร และให้คิดต่อไปว่าดีหละที่ฉันจะได้กลับไปบ้านเกิด จะได้สลัดทิ้งความเป็นอยู่จากแวดวงของทุนนิยมที่มีแต่ความฟุ่มเฟือย สังคมที่ยึดถือเงินเป็นสรณะ

เราจะได้กลับไปอยู่ในท่ามกลางของสังคมที่เอาใจเป็นที่ตั้ง ได้เห็นบรรยากาศของธรรมชาติ “หอมดอกผักกะแยง ยามฟ้าแดงค่ำลงมา แอ๊บๆ เขียดจะนา ร้องยามฟ้าฮ้อนหวนๆ เขียดโม้เขียด ขาคำ เหมือนหมอลำพากันม่วน เมฆดำลอยปั่นป่วน ฝนตกมาสู่อีสาน”   (เทพพร เพชรอุบล)   มีความสุขอย่าบอกใครเชียว

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับการเริ่มต้นนั่นคือการกิน...!!!

การกินนั้น เป็นสิ่งที่ท้าทายทั้งผู้ที่ไม่ได้ทำงานแล้ว และผู้ที่ยังทำงานอยู่อย่างยิ่ง จึงควรที่จะนำเรื่องการกินมาเป็นสิ่งท้าทายว่าเราก็ทำได้ ท้าทายอย่างไร ท้าทายที่เราจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคนั่นเอง

สามารถตอบได้หรือไม่ว่าในหนึ่งวันเราเสียเงินไปกับการกินกี่บาท ถ้าตอบได้แล้วก็ต้องตอบให้ได้ด้วยว่าแต่ละบาทซื้ออะไรไปบ้าง สิ่งที่ซื้อและจ่ายไปแต่ละบาทนั้นสำคัญกับการเจริญเติบโตและเสริมสร้างพละกำลังของเราหรือไม่ นั่นคือเป็นอาหารที่อยู่ในหมวดหมู่ตามหลักโภชนาการหรือไม่

อาหาร คือ สิ่งที่มีประโยชน์เมื่อร่างกายกินเข้าไปก็สามารถย่อย ดูดซึม และนำไปใช้ประโยชน์ได้ดังนั้นในวันหนึ่ง ๆ เราควรกิน อาหารให้ครบ ๕ หมู่ ได้แก่ ๑. เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว ๒. ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มัน ๓. ผักใบ ขียวต่าง ๆ ๔. ผลไม้ต่าง ๆ ๕. ไขมันและน้ำมัน

ร่างกายเราต้องการอาหารเพียงเพื่อให้หายหิว มิใช่ให้หายอยาก ถ้ากินเพื่อให้หายหิววันหนึ่งเสียเงินไม่มาก หากให้หายอยากทั้งวันก็ไม่หายอยากอยากอยู่เรื่อย นี้แหละเป็นตะกร้ารั่วที่ทำให้เงินเราหายไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นน้ำไร้สาระ ขนมกรุบกรอบที่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร เหล้าบุหรี่ เป็นต้น

เริ่มทำบัญชีบันทึกดู ว่าวันหนึ่งจ่ายอะไรไปบ้าง เมื่อเห็นแล้วต่อไปก็ค่อยลดสิ่งไม่จำเป็นออก แล้วยอมจ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของร่างกายเท่านั้น จะทำให้ลดเงินรายจ่ายลงได้อย่างน่าทึ่ง

โดยคิดปฏิวัตรและปฏิบัติอยู่เสมอๆ “อย่าอยู่อย่างอยาก”  หากอยากอยู่อย่างอยาก...!!! แล้วจะลำบากเพราะความอยากย่อมพาไปจน...!!! การดำเนินชีวิตนับต่อแต่นี้ไป กลับมุมมองใหม่จากที่แข่งกันว่าใครเงินเดือนมากกว่ากัน ให้มาแข่งกันที่ว่าใครจะเหลือมากกว่า แข่งกันที่รายเหลือ ไม่แข่งกันที่รายรับ

คงเคยได้ยินบ้างนะครับ “อยู่อย่างจนไม่จน อยู่อย่างรวยไม่รวย”

ทุกประเด็นที่ได้บอกกล่าวไปนั้น เป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวของการใช้ชีวิตอย่างประเสริฐที่อยู่บนพื้นฐานของ “เศรษฐกิจพอเพียง”

ครับ “คิดบวก ชีวิตบวก”  และ “อย่าอยู่อย่างยาก”  หากทำได้เสมอต้นเสมอปลายชีวิตนี้แม้ถูกเลิกจ้างก็ไม่เป็นทุกข์ จังหวะดีที่ยังได้ทำงานอยู่ก็จะสุขยิ่งกว่าเก่า

เริ่มเลยครับวันนี้ ผมมั่นใจคุณทำได้ และทำได้ดีด้วย.

///////////////////////////////////


บทความนี้เกิดจากการเขียนและส่งขึ้นมาสู่ระบบแบบอัตโนมัติ สมาคมฯไม่รับผิดชอบต่อบทความหรือข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหากท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือละเมิดสิทธิใดๆ กรุณาแจ้งมาที่ ht.ro.apt@ecivres-bew เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกจากระบบในทันที